Page 303 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 303
235
เพราะฉะนั้นอารมณ์เหล่านั้น อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ยังปรากฏเกิดขึ้นตาม ธรรมชาติ ของการ...ที่เรามีอายตนะครบ ก็ต้องทาหน้าที่ของตนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ว่าจิตที่ไม่เกิดขึ้น คือ อกุศลจิต หรือเวทนาที่เป็นฝ่ายอกุศลไม่เกิดขึ้น มีแต่สติ สมาธิ ปัญญา ทาหน้าที่รับรู้ถึงอารมณ์อันนั้น กาลังปรากฏขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นอารมณ์บัญญัติก็ตาม จุดหนึ่งที่เราสามารถเห็น เมื่อมาสารวจดูสภาพจิต สภาพจิตใจ ขณะที่เห็นอารมณ์เหล่านั้น ปรากฏเกิดขึ้นอยู่ในที่ว่าง ๆ
อย่างที่ถามว่า อารมณ์เหล่านั้น หรือความคิดที่เกิดขึ้นมีน้าหนัก มีความหนาแน่น มีความโปร่ง ความเบา ก็ไม่ต่างอะไรกับภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน ก็ให้ความรู้สึก ก็ต้องสังเกตในลักษณะเดียวกันว่า ขณะทสี่ ภาพจติ เปน็ แบบนี้ อารมณเ์ หลา่ นนั้ มคี วามเปลยี่ นไปอยา่ งไร ยงั มนี า้ หนกั อยไู่ หม หรอื เสยี งทดี่ งั ๆ กด็ งั เป็นความดังที่เบา ไม่มีน้าหนัก ไม่มีแรงกระแทกเข้ามาถึงใจ ไม่มีความหนาแน่น ไม่มีความหนัก มีแต่ดัง แลว้ เกดิ อยใู่ นทวี่ า่ ง ๆ เบา ๆ ใส ๆ นนั่ คอื ลกั ษณะอาการของเสยี งยงั ปรากฏ แตจ่ ติ ไมส่ ง่ ผลทา ใหเ้ กดิ อกศุ ล
เพราะฉะนั้น เมื่ออารมณ์เหล่านั้นไม่ส่งผลให้เกิดอกุศล จึงบอกว่า สังเกตดูว่าสภาพจิตใจขณะนั้น รสู้ กึ ดไี หม จติ ขณะนนั้ ดหี รอื เปลา่ ไมใ่ ชเ่ กยี่ วกบั วา่ เราชอบหรอื ไมช่ อบ ถามวา่ ดอี ยา่ งไร ด.ี ..เพราะมคี วามสขุ มีความสบาย มีความนุ่มนวล มีความละเอียดอ่อน มีความผ่องใส มีความผ่องใส มีความนุ่มนวล ละเอียด อ่อน มีความสุขขึ้นมา ความสุข ความนุ่มนวล ความละเอียดอ่อน กลายเป็นกาลังของเมตตา เป็นพลังของ เมตตา ทาให้จิตมีความเมตตาเกิดขึ้นมา
เพราะฉะนั้น นั่นคือสภาพจิตอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ที่เกิดจากการกาหนดรู้ เหล่านี้แหละ ที่เราพึง พิจารณาสังเกตถึงความเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้น อาจารย์จึงย่อ ย่อลงมา งานที่เราต้องทามีอยู่ ๒ อย่างคือ ลักษณะของอาการเกิดดับของอารมณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนไปอย่างไร และสภาพจิตเปลี่ยนไปอย่างไร จึงไม่ได้ ขยายว่า อารมณ์ต่าง ๆ เป็นความคิดที่เป็นฝ่ายอกุศล ความคิดที่เป็นกุศล ภาพที่เห็นแล้วเคยชอบ เปลี่ยน เป็นไม่ชอบ ภาพโน้น ภาพเป็นคน เป็นต้นไม้ เป็นวัตถุสิ่งของ ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดตรงนั้น
เพราะนั่นคือ เป็นอารมณ์เป็นภาพที่เห็น ที่กระทบเกิดขึ้นมากระทบทางตา ทางหู ทางกาย ที่ผัสสะ เกดิ การหยบิ จบั การเดนิ การกระทบไป นนั่ เปน็ เรอื่ งปกตทิ เี่ กดิ ขนึ้ แตก่ ารทเี่ ราสนใจ ถงึ ลกั ษณะของอาการ การหยิบจับ หรือถึงลักษณะอาการกระทบ การเกิดดับของอารมณ์เลย นั่นคือจะทาให้เราเพิกบัญญัติ เพิก บัญญัติได้ง่าย คลายการยึดติดในความเป็นกลุ่มก้อน เข้าไปสู่ปรมัตถ์ คืออาการพระไตรลักษณ์ การเกิด ดับของรูปนามที่เป็นปรมัตถ์จริง ๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้แหละ ที่จะเป็นตัวบ่งบอกว่า การกาหนดรู้อาการ พระไตรลักษณ์ของเรา จึงเป็นการชาระจิตเราไปโดยปริยาย
จึงบอกว่า พอจิตมีความผ่องใสขึ้นมา เห็นอาการเกิดดับหมดไป จิตเปลี่ยนเป็นใส กลับมาสารวจดู ว่า กิเลสของเรา ความมีตัวตน ความเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ยังอยู่เหมือนเดิม หรือน้อยลงไป เราต้องรู้สึก ได้ทันที เราต้องรู้สึกได้ทันที ไม่ต้องไปกังวล...อารมณ์นี้ยังไม่เกิด ถ้าเกิดขึ้นมา เราก็ยังสังเกตได้ว่า อายุ อารมณ์เขาสั้นลงกว่าเดิมไหม เวลามีความไม่พอใจ ความไม่พอใจยังอยู่เท่าเดิม หรือจบเร็วกว่าเดิม นั่นคือ จุดที่เราควรใส่ใจ