Page 463 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 463

395
จากมโนกรรม เขาเรยี กการปรงุ แตง่ นคี่ อื สงั ขารทางดา้ นจติ ใจของเรา การกระทา ตา่ ง ๆ ทางรา่ งกาย ทางวาจาเกดิ ขนึ้ มาเพราะจติ คดิ ปรงุ แตง่ ในเรอื่ งราวตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ สงิ่ ทดี่ หี รอื ไมด่ กี อ็ าศยั จติ นแี่ หละเปน็ ตัวปรุงแต่งปรุงแต่งคดิแล้วก็ทาแสดงออกทางกายวาจาเป็นลาดับถัดไปกลายเป็นเรื่องของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ตามมา นี่คือตัวสังขาร
และสังขารอันนี้นี่แหละ การปรุงแต่งทางจิตทาให้การกระทาทางกาย วาจา ใจเกิดขึ้น ที่พูดแล้ว เพราะกรรมเหลา่ นจี้ ะประกอบดว้ ยอะไร เปน็ กรรมทเี่ ปน็ กศุ ลหรอื เปน็ อกศุ ลเกดิ ขนึ้ มา ความเปน็ กศุ ลอกศุ ล ตรงนี้แหละ ที่นาพาให้ชีวิตของเราไปสู่เส้นทางที่ดีหรือไม่ดี ทาให้ทุกข์หรือเป็นสุข จะเกิดภพชาติต่อไปเป็น อย่างไร ก็อาศัยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอันนี้ การกระทา พอการกระทาแสดงออกไป สัตว์โลกย่อม เป็นไปตามกรรม เราก็ต้องรับผลของการกระทาของเราทุก ๆ คน ตามกาลังของกรรมในการกระทาแต่ละ คน นี่แหละคือตัวสังขารขันธ์ที่สาคัญที่จะพาไปสู่...ไปสวรรค์หรือลงนรก
แต่ตัวสังขารขันธ์ ที่เป็นขันธ์ของรูปเกิดขึ้นมาแล้วย่อมเปลี่ยนแปลงไป ที่เราปรับแต่งไป ใช้อาหาร อากาศนนี่ ะเพอื่ พยายามรกั ษารา่ งกายนี้ ใหต้ งั้ อยไู่ ดน้ านทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะเปน็ ไปได้ ใหแ้ ขง็ แรงเขม้ แขง็ แขง็ แรง ทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะเปน็ ไปได้ เพอื่ อะไร เพอื่ ประโยชนอ์ ะไร คา ถามคอื เพอื่ ประโยชนอ์ ะไร เพอื่ สรา้ งประโยชนส์ งู สดุ ในชีวิตของตนเอง ที่เราแต่ละคนคิดว่าประโยชน์ ที่สูงที่สุดสาหรับชีวิตของเราคืออะไร อันนี้อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นขันธ์ทั้ง ๕ เหล่านี้นี่แหละ เป็นธรรมชาติที่กาลังเป็นไปตามเหตุของตน ๆ
แต่ถ้าเราแยกออกมาว่า อันนี้คือรูปขันธ์ อันนี้คือวิญญาณขันธ์ อันนี้คือสังขารขันธ์ อันนี้คือเวทนา ขันธ์ แยกแต่ละเรื่อง ๆ ออกมา แต่ละขันธ์ ๆ ออกมา ลองพิจารณาดูว่าขันธ์ไหนที่บอกว่าเป็นเรา เวทนา ขันธ์บอกว่าเป็นเราไหม อันนี้อย่างหนึ่ง การแยกออกแบบนี้ ถ้าเราพิจารณาดูว่า ถ้าแยกรูปนาม แยกกาย แยกจติ ออกจากกนั เรมิ่ ตน้ เหน็ จติ กบั กายแยกสว่ นกนั เหน็ จติ กบั กายแยกสว่ นกนั มสี ว่ นไหนทบี่ อกวา่ เปน็ ของเรานะ มีขันธ์ตรงไหนบ้างที่บอกว่าเป็นขันธ์ของเรา และเป็นของเที่ยง
ลองดูว่าความคิดที่บอกว่าเป็นเรา ที่สาคัญที่สุดเราเป็นคนคิด เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา ลองดูความคิดเป็นเราแล้วเที่ยง เป็นความคิดเดิมอยู่อย่างนั้น หรือว่าเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อย ๆ เดี๋ยวมาแล้ว กห็ มดไป เดยี๋ วกเ็ ปลยี่ นใหมเ่ กดิ ใหม่ อยากใหมเ่ ปลยี่ นใหมไ่ ปเรอื่ ย ๆ ไมเ่ หน็ เทยี่ งสกั ทหี นงึ่ นนั่ จงึ ไมม่ กี าร หยุด จึงไม่มีการพอ มีแต่ความอยาก อยากเรื่องอะไร เพราะความเข้าใจผิด ความเข้าใจผิด ความเห็นผิด ความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นตัวเราของเรา ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้น อารมณ์เหล่านั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยของตน เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม ที่บอกเราจะคลายอุปาทาน เพื่อทาให้ปัญญาเกิดขึ้นมา เขาเรียกละ อวิชชา เพิ่มปัญญา เพื่อที่จะละความไม่รู้ จึงพิจารณาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ คือรูปนามขันธ์ ๕ อันนี้ นี่แหละ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา เกิดขึ้นแล้วดับไป มี แล้วหายไป ไม่มีอะไรเป็นของเรา แล้วลองสังเกตให้ดีถึงสภาวะที่เกิดขึ้น ทีนี้พอแยกอย่างนี้ได้นี่นะ และดู การเปลี่ยนแปลงต่อไป


































































































   461   462   463   464   465