Page 11 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 11
871
ขึ้นเอง โดยที่เราไม่ต้องไปบังคับหรอก ไม่ต้องพยายามหาอะไร ดูจิตที่ดีแล้วให้ชัดเจน เขาจะดีขึ้น ๆ นั่น แหละวิธีพัฒนาจิตของเรา เพราะฉะนั้น ลองพิจารณาดี ๆ
ตอนนี้ลองกลับมาดูให้ชัด สภาพจิตตอนนี้เป็นอย่างไร ? อาการทางกายที่เกิดขึ้นตอนนี้มีอาการ อะไร ? อย่าลืมว่าต้องรับรู้อย่างไม่มีตัวตน ลองกลับมาดูตัวหรือรูปหรือกายที่กาลังนั่งอยู่ในความว่าง นั่ง อยู่ท่ามกลางความสงบ นั่งอยู่ท่ามกลางความเบา มีอาการเวทนาปรากฏเกิดขึ้นมาเป็นขณะ ๆ มีความปวด มีอาการเมื่อยเกิดขึ้นมาเป็นบางจุดตามร่างกาย ถ้าเรารู้สึกว่าเรานั่งอยู่ในที่ว่าง ๆ พอมีเวทนาปรากฏขึ้นมา บางจดุ ของรา่ งกาย ทเี่ คยบอกวา่ พอตวั หายไปแลว้ ใหเ้ วทนานนั้ ปรากฏอยใู่ นทวี่ า่ ง ๆ ใหต้ วั นนี้ งั่ อยใู่ นทวี่ า่ ง ๆ เวทนาเองก็ให้อยู่ในที่ว่าง ๆ แล้วให้มีสติเข้าไปกาหนดรู้อาการของเวทนาว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดดับ ในลักษณะอย่างไร
ให้กาหนดรู้เวียนกันไป สมมติว่าเวทนาหมดไปหายไป มีอะไรเกิดขึ้นต่อ... ถ้ามีความร้อนมีความ เย็นเข้ามา ก็ให้มีสติตามกาหนดรู้อาการเกิดดับของความร้อนความเย็นซึ่งเป็นอาการของธาตุไฟที่เกิดขึ้น นั้นต่อไป ให้ตามกาหนดรู้สลับกันไปจนหมดบัลลังก์ สมมติเรานั่งกรรมฐานชั่วโมงหนึ่ง เราก็ตามกาหนดรู้ การเปลี่ยนแปลงสลับกันไป เริ่มจากความว่าง พอความว่างเปลี่ยนไป ความคิดเข้ามาก็กาหนดความคิดไป พอลมหายใจชดั ขนึ้ มากต็ ามกา หนดลมหายใจตอ่ ไป พอมเี วทนาเกดิ ขนึ้ มากร็ เู้ วทนาตอ่ ไป พอเวทนาหายไป จิตว่างขึ้นอีกใสขึ้นอีก ก็ดูจิตที่ใสต่อไปว่าเปลี่ยนยังไงต่อ... ทาในลักษณะอย่างนี้สลับกันไปจนจบบัลลังก์ จนหมดเวลา นี่คือวิธีการให้เรากาหนดอย่างนี้ไป
เดยี๋ วตอ่ ไปอาจารยจ์ ะไมใ่ ชเ้ สยี ง ใหเ้ ราพจิ ารณาสภาวธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ ตอ่ จากนจี้ ะเปน็ อยา่ งไร อาจารย์ พูดพอให้เรามีแนวทางในการปฏิบัติ ยกตัวอย่างให้เราได้เห็นภาพว่าถ้ามีอาการแบบนี้ควรทาอย่างไร ให้ สงั เกตดวู า่ สภาวธรรมตอ่ จากนจี้ ะเปลยี่ นไปอยา่ งไร ทสี่ า คญั คอื เราสนใจความแตกตา่ งความเปลยี่ นไปของ ลกั ษณะอาการพระไตรลกั ษณ์ การเกดิ ดบั เขาตา่ งจากเดมิ อยา่ งไร สภาพจติ ใจเราเปลยี่ นไปอยา่ งไร สงิ่ ทเี่ รา ตอ้ งใสใ่ จคอื พจิ ารณาอาการพระไตรลกั ษณข์ องทกุ ๆ อารมณท์ เี่ กดิ ขนึ้ เพราะนนั่ เปน็ ตวั บง่ บอกถงึ ลกั ษณะ ข อ ง ป ญั ญ า ห ร อื ส ภ า ว ญ า ณ ท เี ่ ก ดิ จ า ก ก า ร เ จ ร ญิ ว ปิ สั ส น า ข อ ง เ ร า เ พ ร า ะ ฉ ะ น นั ้ ข อ ใ ห ใ้ ส ใ่ จ ต อ่ ไ ป อ า จ า ร ย จ์ ะ ไ ม ่ ใช้เสียง ใช้เวลาประมาณสัก ๒๕ นาที จากนั้นเราแผ่เมตตากัน... ขอให้ตั้งใจ
สมควรแก่เวลานะ ขอให้เราค่อย ๆ คลายจากกรรมฐานคลายจากสมาธิออกมา จะได้แผ่เมตตา ก นั . . . ก อ่ น จ ะ แ ผ เ่ ม ต ต า ท กุ ค ร งั ้ ข อ ใ ห เ้ ร า น อ้ ม ร ะ ล กึ น กึ ถ งึ บ ญุ ก ศุ ล ท เี ่ ร า ไ ด ท้ า น อ้ ม เ ข า้ ม า ใ ส ใ่ จ ข อ ง เ ร า ใ ห เ้ ต ม็ เราคลายจากอารมณก์ รรมฐานแลว้ แตก่ ย็ งั ตอ้ งสงั เกตสภาพจติ ใจเรา คลายออกมาแลว้ จติ ใจรสู้ กึ อยา่ งไร... ยังมีกาลัง มีความสงบ มีความผ่องใส มีความเบิกบาน มีความสุข หรือว่ายังนิ่ง ๆ อยู่ ? คือยังรู้สภาพจิต อยู่ สภาพจิตเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสภาพจิตใจที่เป็นกุศลเป็นบุญอย่างหนึ่ง แต่เพื่อเป็นการเพิ่มพลังบุญให้ จิตที่ว่างที่สงบแล้วได้มีกาลังมากขึ้น ให้น้อมราลึกนึกถึงความดีนึกถึงบุญกุศลที่เราได้ทา น้อมเข้ามาใส่ใจ ที่ว่างที่สงบให้เต็ม จนรู้สึกว่าใจที่ว่างเต็มไปด้วยพลังบุญ