Page 24 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 24
884
เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ปราชญ์ทั้งหลายผู้รู้ทั้งหลายก็ชื่นชมในคาสอนของพระองค์ว่าเป็นคาสอนที่เป็นสัจธรรม จริง ๆ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ยังเป็นจริงอย่างนี้อยู่
ส จั ธ ร ร ม จ งึ ท นั ส ม ยั อ ย เ่ ู ส ม อ ไ ม ม่ คี า ว า่ เ ส อื ่ ม ห า ย ไ ป ต า ม ก า ล เ ว ล า อ ย ท่ ู ใี ่ ค ร ม ปี ญั ญ า จ ะ เ ห น็ แ ล ะ น อ้ ม เข้ามาใส่ตัว พิจารณาปฏิบัติจนสติ-สมาธิ-ปัญญาแก่กล้า แล้วก็จะแจ่มแจ้งในธรรมคาสอนของพระองค์ อย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป เมื่อไหร่ถึงตรงนั้น เราก็คงมีความอิสระ มีความอิ่มเอิบเบิกบานในธรรม คา สอนของพระองคอ์ ยา่ งเตม็ ที่ คนอนื่ จะเปน็ อยา่ งไรกแ็ ลว้ แต่ แตถ่ า้ เราไดเ้ หน็ ไดส้ มั ผสั ถงึ รสชาตขิ องธรรมะ อันนั้น เราจะรู้ด้วยตัวเองว่ารสพระธรรมนั้นเป็นอย่างไร รสพระธรรมจะเป็นอย่างไร พิเศษแค่ไหนนั้น เราก็ต้องสัมผัสด้วยตัวเราเอง ชิมด้วยตัวเราเอง ดื่มกินด้วยตัวเราเอง เห็นจริง ๆ ด้วยตัวเราเอง
เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เจริญกรรมฐาน เมื่อเรามีเป้าหมายอย่างนี้การเจาะสภาวะก็จะง่ายขึ้น เรามี เป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่สักแต่ว่านั่งไปอย่างนั้นแหละ จะรู้อะไรก็ไม่รู้ นั่งไปเรื่อย ๆ การนั่งไปเรื่อย ๆ ก็ เหมือนปล่อยตามยถากรรม แต่ถ้านั่งแล้วมีเจตนาที่จะรู้ว่าพิจารณาอะไร นั่นคือมีเป้าหมายที่ชัดเจน การมี เปา้หมายทชี่ดัเจนวา่ตอนนเี้รากาลงัทาอะไรผลทเี่กดิขนึ้เปน็อยา่งไรนแี่หละเปน็สว่นสาคญั เปน็การกระทา อย่างมีเหตุมีผล เมื่อมีเจตนาที่ชัดเจน ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจึงแจ่มแจ้ง ชัดเจนว่าเป็นแบบนี้ ๆ ทาแล้วผล เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น ขอฝากเอาไว้ ขอให้เราใส่ใจกัน
ถ้าเรามุ่งหวังที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมายสูงสุดเพื่อความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง การเจาะสภาวะเป็นสิ่ง สาคัญอย่างยิ่ง ให้มีเจตนาพร้อมที่จะเจาะสภาวะให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการของกาย เวทนา จิต หรือสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็ตาม เมื่อสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา ขอให้มี เจตนาที่จะเข้าไปกาหนดรู้ถึงการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปให้ต่อเนื่องอยู่เนือง ๆ เพื่อการพัฒนาจิตของเราให้ ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้น วันนี้การแสดงธรรมมาก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ก็ขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอ ความเจริญในธรรมจงมีแก่โยคีทุก ๆ คน เจริญพร
เมื่อเราฟังธรรมแล้ว ทาจิตของเราให้เป็นกุศลแล้ว ต่อไปเราจะแผ่เมตตากัน การทาความเป็นกุศล ใหเ้ กดิ ขนึ้ ไมใ่ ชแ่ คต่ อนทเี่ รานงั่ ฟงั ธรรม การทเี่ ราปฏบิ ตั ธิ รรมมาตงั้ แตเ่ ชา้ จนถงึ ปจั จบุ นั การทเี่ ราไดบ้ า เพญ็ เพียรขัดเกลาจิตใจของตนของตนมาอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการทาให้จิตเราเป็นมหากุศล เป็นบุญอย่างยิ่ง ยิ่งบุญนั้นมีกาลัง มีความหนาแน่น ก็จะมีพลังในการแผ่บุญให้ไกลออกไป ถ้าใครรู้สึกว่าไม่ชัดเจน ขอให้ น้อมระลึกถึงบุญกุศลระลึกถึงความดีที่เราได้ทา น้อมถึงความสุข ความอิ่มใจ ความสบายใจเข้ามาใส่ตัว เข้ามาใส่บริเวณใจของเราให้เต็ม ทาให้จิตใจเรารู้สึกอิ่ม รู้สึกเต็มไปด้วยความสุข ความอิ่มใจ... เมื่อรู้สึก ว่าจิตเรามีกาลังแล้ว ต่อไปให้อธิษฐานจิตให้กับตนเอง
ด้วยอานุภาพแห่งบุญนี้ จงมาเป็นตบะ เป็นพลว เป็นปัจจัย ให้เราเป็นผู้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีดวงตาเห็นธรรม และเข้าถึงธรรมโดยฉับพลัน จากนั้นให้แผ่จิตที่เป็นบุญอันนี้ให้กว้างออกไปอีก ให้กว้าง ออกไปไมม่ ขี อบเขตไมม่ ปี ระมาณ ใหก้ วา้ งเทา่ จกั รวาล แลว้ ตงั้ จติ อธษิ ฐานแผบ่ ญุ กศุ ลอนั นใี้ หก้ บั ผมู้ พี ระคณุ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ลูกหลาน ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนร่วมโลกเกิดแก่เจ็บตาย