Page 5 - การวิจัยทางศิลปะ
P. 5

                  การสร้างความสมดุลระหว่างสมอง 2 ซีก (ซ้ายขวา) มีธรรมชาติของการเรียนรู้ และการ แปลความหมายจากสง่ิ ทรี่ บั รสู้ ู่ 1.ความมเี หตผุ ล (ซา้ ย) 2. ความมอี ารมณค์ วามรสู้ กึ โดยเฉพาะสมองซกี ขวา มคี วามสามารถตอนสนองตอ่ การเหน็ ภาพและสญั ญะตา่ งๆสมองทงั้ สองซกี ตา่ งทา หนา้ ทอี่ ยา่ งเชอื่ มโยง สอดคล้องกัน (เหตุผล-อารมณ์) จนนาไปสู่ความลงตัวเข้ารูปทรง อารมณ์ความรู้สึก จินตนาการและ เหตุผลในทางความคิดและการสร้างสรรค์ศิลปะต่อไป
ระบบการเรียนรู้มี 2 ลักษณะสาคัญ คือ 1.ระบบเรียนรู้นิยม (Learning Base) และ 2 ระบบ ปฏิบัตินิยม (Practice Base) มีความสอดคล้องสมอง 2 ซีก มีการทาหน้าที่แตกต่างกัน ทาให้เกิด ศกั ยภาพ ทกั ษะการเรยี นรมู้ รี ะบบตา่ ง ๆ กนั ออกไป การวจิ ยั ศลิ ปะตอ้ งอาศยั ศกั ยภาพจากสมอง 2 ซกี นี้ ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ศ กึ ษ า ว จิ ยั ศ ลิ ป ะ ค อื ต อ้ ง ร ว้ ู า่ ข นั ้ ต อ น ก า ร ว จิ ยั ใ น แ ต ล่ ะ ล า ด บั น นั ้ ค ว ร จ ะ ใ ช เ้ ร อื ่ ง ข อ ง ค ว า ม ค ดิ เหตุผล การจัดระบบก่อนหลัง การคิดไตร่ตรอง หรือความคิด ความรู้สึก จินตนาการ การหยั่งรู้
วจิ ยั ทางศลิ ปะอาศยั ระเบยี บวธิ ที างศลิ ปะ(ArtisticMethod)หรอื วธิ วี ทิ ยา(Methodology) ในระบบปฏบิ ตั นิ ยิ ม (Practice Base) หรอื การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิ (Practice Base research) เปน็ หลกั สา คญั มี ระบบแบบปฏบิ ตั นิ ยิ มเปน็ ระบบสนบั สนนุ ชว่ ยสรา้ งความนา่ เชอื่ ถอื (การลงปฏบิ ตั งิ าน–ระหวา่ งปฏบิ ตั งิ าน = กระบวนการเรียนรู้จากตัวศิลปะและออกแบบ นามาสู่ = ความรู้ และองค์ความรู้)
ระบบปฏบิ ตั นิ ยิ ม(practicebase)เกดิ ความรแู้ ละองคค์ วามรใู้นกระบวนการเรยี นรหู้ นง่ึ ๆนนั้ (ตามกรณศี กึ ษาแตล่ ะคน)ทกี่ ลา่ ววา่ “การปฏบิ ตั ศิ ลิ ปะและออกแบบ”กระบวนการเรยี นรู้คอื การปฏบิ ตั ิ ตอ้ งประกอบดว้ ยความรู้ กระบวนการ ประสบการณใ์ นชวี ติ ทกั ษะทางศลิ ปะออกแบบมคี วามรสู้ กึ โตต้ อบ (Improvisation) การมปี ฏกิ ริ ยิ าโตต้ อบระหวา่ งผปู้ ฏบิ ตั กิ บั ผลแหง่ การปฏบิ ตั หิ นงึ่ ๆ นนั้ (Interaction)
นกั วจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารนยิ มตอ้ งสรา้ งคา ตอบแบบทนั ทที นั ใดจากการหยงั่ รู้(intention)หนงึ่ ๆนน้ั ไม่ว่าจะเป็นต่อภาพ ต่อสัญญะต่าง ๆ ที่ปรากฏขณะปฏิบัติ จากจิตที่ชอบและใจที่รู้สึกต่อปรากฏการณ์ เบอื้ งหนา้ ควบคไู่ ปกบั นกั วจิ ยั อาจตอ้ งแกป้ ญั หาการแสดงออก ทกี่ ารคดิ วเิ คราะหแ์ ละการใชเ้ หตผุ ลในการ ใหค้ า ตอบกบั ตวั เองในการปฏบิ ตั หิ นงึ่ นนั้ ดว้ ยวา่ มเี หตผุ ลอะไรอยา่ งไรเพอื่ อะไรอยา่ งเปน็ วชิ าการ (ทฤษฎ)ี สาหรับการนาเสนอความรู้หรือข้อค้นพบทางการวิจัยเชิงปฏิบัติสร้างสรรค์ศิลปะแบบนี้ (การแสวงและ แสดงความรู้)
กรณี “ประเด็นหรือหัวข้อในการวิจัย” ควรเป็นเรื่องและหัวข้อที่อยู่ในความสนใจ ความรัก และความถนัดของผู้วิจัยเชิงปฏิบัตินิยมเป็นสาคัญ สามารถศึกษาวิจัยได้อย่างมีความสุข มีความลุ่มลึก ในสาระที่ศึกษา และมีความต่อเนื่องจนผลงานวิจัยสาเร็จลุล่วงไปด้วยดี สาหรับหัวข้อที่ดีทางศิลปะ ออกแบบควรมีลักษณะดังนี้
1. หวั ขอ้ ตอ้ งเปน็ ประเดน็ อยใู่ นความสนใจ สามารถหาคา ตอบได้ ดว้ ยกระบวนการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิ 2. หัวข้อต้องแสดงคาสาคัญ (Key word) นิยามคา และความหมายนั้นได้อย่างน่าสนใจ
3. หัวข้อต้องเป็นเรื่องที่สาคัญ มีคุณค่า นาไปสู่ความรู้ใหม่ มุมมองใหม่ที่น่าสนใจ
4. หัวข้อต้องสามารถวางแผนการดาเนินการด้านต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า
ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุชาติ เถาทอง
แนวคิดการวิจัยทางศิลปะ
introduction























































































   3   4   5   6   7