Page 162 - การสำรวจภาพถ่าย Photogrammetry
P. 162

 132
 132
โดยทั่วไปแลวเลนสตาของมนุษยจะมีลักษณะนูนสองดานและประกอบดวยตัวกลางหักเหชนิดโปรงแสง เลนสตา สามารถทรงตัวไดตองอาศัยกลามเนื้อหลายมัดที่ชวยในการเคลื่อนไหวและมีแกนทัศนของตา (Optical Axis) ที่เปรียบเสมือน เวกเตอรเสนตรงที่ชี้ไปยังวัตถุที่กําลังจองมองเชนเดียวกับกลองถายภาพที่เมื่อจะถายภาพจะตองมีการเล็งไปยังวัตถุที่ตอง ถายภาพนั้น และดวงตาของมนุษยมีการปรับโฟกัสเมื่อมองวัตถุระยะที่ตาง ๆ กัน กลาวคือ เมื่อดวงตาเพงมองไปยังวัตถุที่อยู ไกล กลามเนื้อที่ยึดเลนสตาจะเกร็งตัวสงผลทําใหผิวความโคงของเลนสตาแบนลงเพื่อเพิ่มความยาวโฟกัสสามารถมองเห็นวัตถุ ที่อยูไกลไดอยางชัดเจน ในทางตรงขามเมื่อวัตถุอยูใกลดวงตาก็จะเกิดพฤติกรรมในทางตรงขามกับนัยขางตนที่ไดกลาวไว ทั้งนี้ ความสามารถในการปรับโฟกัสของดวงตาเพื่อดูใกลไกลที่ระยะตาง ๆ กันนั้นเรียกวา สมรรถภาพการปรับชัด (Accommodation)
5.1.2 การรับรูความลึกดวยการมองสามมิติ (Stereoscopic Depth Perception)
การโฟกัสของดวงตาเพื่อมองไปยังจุด ๆ หนึ่งทําใหแกนทัศนของดวงตาทั้งสองขางเบนเขาหากันแลวตัดกันที่จุด ๆ หนึ่งเกิดเปนมุมเหลื่อม (Parallactic Angle) ซึ่งเมื่อวัตถุตั้งอยูใกลจะมีมุมเหลื่อมที่ใหญกวาวัตถุที่อยูไกลออกไป จากรูปที่ 5-2 จะเห็นวาแกนทัศนของดวงตาขางซาย (L) และดวงตาดานขวา (R) ซึ่งอยูหางจากกันเปนระยะฐานตา (Eye Base: b) ซึ่งก็คือ ระยะหางระหวางรูมานตา(InterpupillaryDistance)ในที่นี้ใหเปนระยะbโดยขณะที่ดวงตาของเพงมองเพื่อโฟกัสสายตาไป ยังจุด A แกนทัศนของดวงตาก็จะเบนเขาหากันเกิดมุมเหลื่อม  ในทํานองเดียวกัน เมื่อดวงตาเพงมองที่จุด B แกนทัศนก็ เบนเขาหากันเกิดเปนมุมเหลื่อม  และการแปรเปลี่ยนขนาดของมุมเหลื่อมนี้ชวยใหสมองรับรูไดทันทีโดยอัตโนมัติถึงความ ไกลใกลที่สัมพันธกับระยะ  และ  ตามลําดับ และในขณะเดียวกันก็ชวยใหสมองสามารถที่จะพิจารณาความลึกระหวาง จุด A และจุด B ( − ) ผานการรับรูความแตกตางทางขนาดของมุมเหล่ือมท้ังสองท่ีสมองของมนุษย
เนื่องระยะใกลสุดที่มนุษยซึ่งมาสายตาปกติสามารถรับรูความลึกจากการมองสามมิติคือระยะประมาณ 25 ซม. ซึ่ง
เปนระยะที่สามารถมองเห็นไดอยางชัดเจนและสบายตา กลาวคือ หากดวงตาของมนุษยสามารถเพงมองวัตถุที่อยูใกลกวา 25
ซม. ถึงแมเปนสิ่งที่กระทําไดแตจะสง ผลใหกลามเนื้อดวงตาทํางานหนัก สง ผลใหเมื่อยตาและในบางครั้งอาจจะเกิดอาการปวด
หัวไดอนึ่งระยะฐานตา(EyeBase)ของมนุษยโดยทั่วไป(b)โดยเฉลี่ยอยูทปี่ระมาณ6.3ถึง6.9ซม.โดยอาศัยหลักการนี้เมื่อ
.  
วิเคราะหรูปที่ 5-2 อยางละเอียดจะพบวา ขนาดมุมเหลื่อมที่ใหญที่สุดที่อาจจะเปนไปไดสําหรับมนุษยที่มีสายตาปกติ โดย
กําหนดระยะโฟกัสท่ี 25 ซม. จะมีคามุมเหล่ือมเกิดประมาณเทากับ ∅ = 2 × tan    ≅ 15° และมุมเหลื่อมนี้จะมีการ 
เปลี่ยนแปลงขนาดโดยจะมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ไปตามระยะที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขีดความสามารถของมนุษยในรับรูเพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงมุมเหลื่อมในการประเมินความตางของความลึกนี้ถือ
เปนสิ่งที่นาทึ่งอยา งมาก ทั้งน้ีโดยปกติของมนุษยจะมีคาเฉลี่ยอยูท ี่ประมาณ 3 ฟลิปดา (second of arc) และสําหรับบางคน อาจจะมีความสามารถที่สูงถึง 1 ฟลิปดา ซึ่งแสดงใหเห็นวากระบวนการสํารวจดวยภาพถายนั้นสามารถที่จะนํามาวิเคราะห ความสูงของวัตถุและการแปรเปลี่ยนลักษณะความสูงต่ําของภูมิประเทศผานการรับรูความลึกโดยอาศัยการเปรียบเทียบความ แตกตางของมุมเหลื่อมไดเปนอยางดี
การสำาํา รวจด้้วยภาพถ่่าย (Photogrammetry)




















































































   160   161   162   163   164