Page 174 - การสำรวจภาพถ่าย Photogrammetry
P. 174
144
144
ยานที่ติดกลองนั้นเคลื่อนนี้ อาทิเชน ในการถายภาพถายทางอากาศนั้นจําเปนจะตองตั้งเวลาการถายภาพของกลองบน เครื่องบิน โดยกําหนดใหกลองถายภาพทางอากาศมีการเปดหนากลองถายภาพดวยชวงเวลาที่เทา ๆ กันไปเพื่อบันทึกตําแหนง ของจุดภาพตาง ๆ ของภูมิประเทศไว ทั้งนี้การเปลี่ยนตําแหนงของจุดภาพของวัตถุใด ๆ บนพื้นที่ภูมิประเทศจากภาพหนึ่งไป ยังภาพถัดไปอันเนื่องมาจากการตั้งเวลาเปดถายภาพไปควบคูกับการเคลื่อนที่ของเครื่องบินนี้ทําใหเกิดเปนระยะเหลื่อมของ ภาพคูซอนสามมิติ (Stereoscopic Parallax)
เมื่อพิจารณารูปที่ 5-15 โดยกําหนดใหทิศทางแกน X เปนแนวขนานกันกับแนวบินถายภาพ (Flight Line) จะเห็นวา ระยะเหลื่อมจะเกิดขึ้นไดในทุก ๆ จุดภาพที่ปรากฏบนภาพคูซอนเสมอ และตําแหนงของจุดเปดถายภาพ L1 และ L2 ซึ่ง ปรากฏบนภาพถายเปนจุดมุขยสําคัญ (Principal Point: PP) PP1 และ PP2 ตามลําดับ และจุดมุขยสําคัญของภาพถาย ดานซายที่ไปปรากฏบนภาพถายดานขวาเกิดเปนจุดมุขยสําคัญสังยุค (Conjugate Principal Point: CPP) CPP1 และจุดมุขย สําคัญสังยุคบนภาพถายดานขวา CPP2 ก็ไปปรากฏบนภาพถายดานซาย ทั้งนี้ในแตละภาพไดบันทึกภาพอาคาร M และ N โดยที่อาคาร M สูงกวาอาคาร N โดยบนภาพถายดานซายจะมีพิกัดในแนวแกน X ซึ่งเปนระยะหางของจุดภาพเทียบกับจุด มุขยสําคัญของภาพดานซายเปน Xm และ -Xn ตามลําดับ ในทํานองเดียวกันบนภาพถายดานขวาเปน Xm’ และ Xn’ และ หากนําภาพถายทั้งสองมาซอนทับกับโดยใหจุด L1 และ L2 มาอยูที่เดียวกัน จะเห็นถึงระยะเหลื่อมของอาคาร A เปน Pm = Xm – Xm’ และอาคาร N เปน Pn = -Xn – Xn’ ทั้งนี้ตองมีเครื่องหมายบวกและลบที่ถูกตอง โดยจะเห็นวา Xn อยูดานซาย ของจุดมุขยสําคัญจะมีคาเปนลบ ในขณะที่ Xm, Xm’ และ Xn’ อยูดานขวามีคาเปนบวก และแนวแกนบินถายภาพนี้สามารถ สรางไดโดยลากเสนตรงเชื่อมระหวางจุดมุขยสําคัญ (PP1 และ PP2) และจุดมุขยสําคัญสังยุค (CPP1 และ CPP2) เพื่อใชเปน แนวเสนตรงอางอิงเพื่อใชในการวัดระยะเหลื่อม อนึ่งขอใหเปนที่เขาใจกันวา ระบบพิกัดภาพถายสําหรับการหาระยะเหลื่อมนั้น เทียบกับระบบแกนตามแนวบินการวัดเพื่อหาระยะเหลื่อมอาจทําไดทั้งวิธีมองภาพเดี่ยว (Monoscopic Method) ดังรูปที่ 5- 17 หรือภาพคูซอน (Stereoscopic Methods) ดังรูปที่ 5-19
รูปที่ 5-15 ภาพตัดขวางแสดงหลักการของระยะเหลื่อมบนคูภาพสามมิติของภาพถายดิ่ง (ดัดแปลงจาก Jensen, 2007)
การสำาํา รวจด้้วยภาพถ่่าย (Photogrammetry)