Page 103 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 103
85
การปฏบิ ตั ธิ รรม สงิ่ สา คญั คอื มี “เจตนา” เทา่ นนั้ เอง เจตนาตอ้ งชดั เจน ว่า “เราจะปฏิบัติเพื่ออะไร ?” ถ้าเราต้องการปฏิบัติธรรมเพื่อความดับทุกข์ เมื่อไหร่ที่ความทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ดับเสีย อันไหนยังไม่เกิด ก็ไม่ต้องไปหามัน สังเกตว่า วันหนึ่ง ๆ ความทุกข์เกิดกับเรากี่ครั้ง ? เกิดตลอดเวลาหรือเปล่า ? หรือว่านาน ๆ เกิดทีหนึ่ง แล้วก็หายไป ? นาน ๆ เกิดเข้ามา แล้วก็หายไป ? เมื่อความทุกข์หายไป ก็ให้รู้ว่าหายไป ความทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ให้ให้รู้ชัดว่าตอน นี้กาลังทุกข์ เมื่อรู้ว่าทุกข์แล้ว จะดับอย่างไร ? นั่นคือสิ่งที่เราต้องทา
ถ้าเรามัวแต่คร่าครวญว่า ทาไม... ทาไมถึงทุกข์ ? ทาไมถึงเป็นอย่าง นั้น? ทาไมคนนั้นเป็นอย่างนี้ ? เสียเวลา! เสียเวลาในการดับทุกข์ ความทุกข์ เกิดขึ้นมา มัวแต่คร่าครวญ ตอนที่เราคร่าครวญนั่นแหละเราก็ทุกข์ ขณะที่ เราคร่าครวญ โศกเศร้า ร่าไห้พิไรราพัน เราไม่ได้แสวงหาทางดับทุกข์ ที่เรา มาปฏิบัติวิปัสสนาตรงนี้ เพื่อให้รู้แนวทางในการดับทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ? รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้วิธีการดับทุกข์ รู้ว่าทุกข์ดับแล้ว... พวกเรารู้ไหมว่าทุกข์หน้าตาเป็นยังไง ? รู้ใช่ไหม ? เรารู้ ว่าทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าจะดับอย่างไร บางครั้งแม้แต่ขณะที่ความทุกข์ดับไปแล้ว ก็ไม่ยอมปล่อย พยายามดึงเอาไว้... ดึงเอาไว้อย่างไร ? ตอนที่ความทุกข์ เกิด เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง เราก็ลืม ไม่ทุกข์แล้ว ไปทางานอื่นได้สบาย พอว่าง ๆ มานึกถึงใหม่ คิดขึ้นมาใหม่ แล้วก็ทุกข์ใหม่!
เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าเมื่อทุกข์ดับไปแล้ว ให้รู้ชัดว่าทุกข์ดับ เมื่อทุกข์ ดับไป ใจเรารู้สึกอย่างไร ? เคยสังเกตไหม ? บางทีพอทุกข์ ก็รู้ชัด พอทุกข์ หายไป ก็ไม่สนใจจิตใจตนเองในขณะนั้นเป็นอย่างไร อันนี้ทาให้ความสุขเรา เกิดได้ยาก เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น ไปเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์อีกแล้ว ตอน ที่ไม่ทุกข์ มองข้าม ตอนที่ทุกข์ รับเต็ม ๆ ถึงแม้เราจะทุกข์เช้าครั้งหนึ่ง เย็น ครั้งหนึ่ง ก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าทุกข์ทั้งวัน ทุกข์ตอนเช้า ๒ ชั่วโมง ทุกข์ตอน เย็น ๓ ชั่วโมง ระหว่างวันไม่ทุกข์เลย แต่มองไม่เห็น สุดท้ายก็มานั่งจมอยู่