Page 186 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 186

168
เมื่อเราพิจารณาอย่างนี้ เราจะเป็นผู้พิจารณาด้วยความรู้สึกที่ไม่ประกอบ ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เป็นการรับรู้ด้วยปัญญาจริง ๆ รู้เห็นตามความ เป็นจริงว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เราจะเข้าใจในสภาวะที่เกิดขึ้นตามที่ เป็นจริง
อย่างที่บอกว่าการทาจิตให้ว่าง และให้กว้างออกไป กว้างกว่าตัว การ แยกรปู แยกนาม การแยกรปู นามเพอื่ ทา จติ ใหว้ า่ ง เราจะเหน็ ตามความเปน็ จรงิ จริง ๆ รูปนามไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่ของใคร และไม่เป็นอันเดียวกันด้วย รูปกับนามเป็นคนละส่วนกัน ถ้าสังเกตให้ดี เราจะเห็นว่าขณะที่ได้ยินเสียง จิตที่ทาหน้าที่รู้กับเสียงที่เกิดขึ้น เป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน เพราะ ฉะนั้น สังเกตแบบนี้ ถ้าเราเอาจิตที่ว่างเป็นผู้รับรู้ เสียงที่เข้ามา กระทบจิตใจ เราหรือเปล่า ? เสียงที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ที่ไหน ? เกิดอยู่ในที่ว่าง ๆ หรือเข้ามาที่ ใจ เข้ามาที่หู เข้ามาที่ตัวของเรา ? นี่คือจุดที่ต้องสังเกต
ถ้าเรากาหนดรู้ด้วยจิตที่ว่าง จะเห็นว่าเสียงเขาเกิดอยู่ในที่ว่าง ๆ พอ เกิดอยู่ในที่ว่าง ๆ ก็จะเห็นว่าเสียงก็สักแต่ว่าเสียง แต่รู้ชัดว่าเป็นเสียงอะไร และเห็นชัดว่าเสียงนั้นเกิดดับในลักษณะอย่างไร เราเห็นความไม่เที่ยง เห็น การเกิดดับของเสียง และขณะที่เห็นอาการของเสียงเป็นไปในลักษณะอย่าง นั้น สภาพจิตใจเราเป็นอย่างไร ? วุ่นวาย สงบ หรือผ่องใส เบิกบาน หรือ ราคาญ หงุดหงิด หรือว่างเปล่า ? นั่นคือการสังเกตดู
นอกจากเสียงแล้ว อาการต่าง ๆ หรือเวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ก็เช่น เดียวกัน เมื่อกี้ให้ความรู้สึกของเราหรือให้จิตแยกจากตัวได้ กว้างกว่าตัวได้ เวทนาที่เกิดขึ้นก็อาศัยร่างกาย ความปวด อาการเมื่อย อาการชา อาการเคร่ง ตึง อาศัยร่างกาย คืออาศัยรูป เมื่อมีเวทนาที่รูปเกิดขึ้น การต่อสู้กับเวทนา ต้องต่อสู้อย่างไม่มีตัวตน เขาเรียก “สู้ด้วยปัญญา” ไม่ใช่สู้ บังคับเวทนา ให้หาย ไม่ใช่อย่างนั้น! ให้แยกส่วนกันระหว่างเวทนากับจิตที่ทาหน้าที่รู้ เมื่อ มีเวทนาเกิดขึ้น ให้สังเกตทันทีว่า เวทนาที่เกิดขึ้นมากับจิตที่ทาหน้าที่รู้ เขา


































































































   184   185   186   187   188