Page 255 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 255
237
ไม่เท่ากัน ปัญญาไม่เท่ากัน สติไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น จึงเห็นแตกต่างกัน แต่ที่สาคัญ จงภูมิใจในตัวเองว่า ปฏิบัติเมื่อไหร่ เราก็พัฒนาขึ้น ดี ขึ้น ดีขึ้น วันละนิด วันละนิด ก็ยังดีกว่าที่มานั่งคร่าครวญว่าเมื่อไหร่ เมื่อ ไหร่ เมื่อไหร่จะถึงตรงนั้น! เมื่อไหร่จะเท่าคนอื่น! เสียเวลา! เราคร่าครวญ ๒ นาที ก็เสียเวลาไป ๒ นาที แต่ถ้าเรารู้เร็วกว่านั้น ๒ นาที เราก็จะมีเวลา เพิ่มอีก ๒ นาที ขณะที่เรากาลังบ่นอยู่ เราก็กาหนดไม่ทันคาบ่นของตัวเอง อยู่ดี เสียเวลาเพิ่มไปอีก ฉะนั้น พอรู้ปุ๊บ ยกจิตขึ้นใหม่ มีสติกาหนดรู้ว่าเมื่อ กี้ไม่ทันนะ ตอนนี้จิตเราเป็นอย่างไร อาการต่อจากนี้เป็นไปอย่างไร นั่นแหละ
เราใช้เวลาอย่างคุ้มค่า
เผลอไปไม่แปลก รู้เมื่อไหร่พอใจที่จะกาหนดทันที! แล้วก็จะต่อเนื่อง
เอง เผลอไปไม่ต้องเสียดายหรอก ให้รู้สึกตัวขึ้นมาพร้อมที่จะกาหนดนับหนึ่ง ใหม่ ถึงนับหนึ่งใหม่ก็ยังดีกว่านับไม่เป็น เริ่มใหม่บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชานาญเอง ต่อไปพอเริ่มหลุด ก็จะเริ่มใหม่ได้เร็วขึ้น เร็วขึ้น ต่อไปก็จะเดินหน้าไปเอง ให้ รู้ไว้เลยว่า เราเป็นผู้ฝึก เราเป็นผู้ศึกษา ไม่ใช่ผู้สาเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น อย่า คิดว่าทาไม่ได้ ถ้าเราทาได้แล้ว ก็ไม่ต้องทาแล้ว ใช่ไหม ? ให้เรารู้ว่าเรากาลัง ศึกษา จงพอใจที่จะศึกษา พอใจที่จะเข้าไปกาหนดอารมณ์ต่าง ๆ
และอีกอย่างหนึ่งคือ “ความอยาก” เวลาเราปฏิบัติธรรม ต้องอาศัย ความอยากนะ ถ้าไม่อาศัยความอยากนี่เสร็จเลย! นอนอย่างเดียว! อยาก ปฏิบัติ อยากรู้ อยากดู อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าอยากอะไร ? อยากหลุดพ้นจึงออกบวช บวชแล้วก็อยาก หลุดพ้น จึงทรมานตัวเอง พอทรมานตัวเองแล้วเห็นว่าทางนี้ไม่ใช่ ก็มาปรับ ใหม่ จากที่อดอาหารก็มารับอาหาร แต่ว่าความอยากที่ “ห้าม” คือ อย่า อยากให้เป็นเหมือนเดิม สิ่งที่ต้องทาคือ อยากรู้ว่าต่อจากนี้เป็นอย่างไร จิต ที่เกิดขึ้นมาดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร แล้วเขาเปลี่ยนอย่างไร ที่ไม่เที่ยงนั้นเป็น อย่างไร