Page 42 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 42
24
จริง ๆ แล้วสังเกตคนที่เขาเดินเป็น เราก็จะเดินเป็น บอกวิธีกาหนด อาการในขณะที่เดินจงกรม ยื่นมืออกมาข้างหน้าในที่ว่าง ๆ ยกตัวอย่างแทน การก้าวเท้า ไม่ต้องตึงนะ สบาย ๆ แบบนี้แหละ แล้วให้จิตเราไปอยู่ที่มือ แล้วเคลื่อนไปช้า ๆ ลองดูว่าที่มือรู้สึกเป็นยังไง ? แล้วก็เคลื่อนกลับมาจน สุด หยุดนิดหนึ่ง แล้วก็เคลื่อนไป สังเกตว่า อาการเคลื่อนไหวของมือ เขา เป็นเส้นต่อเนื่องกันตลอดไหม ? หรือว่าเป็นอย่างไร ? พอเคลื่อนมือสุด ปุ๊บนี่ เขามีอาการยังไง ? รู้สึกเป็นไง ? เขาเป็นเส้น นิ่ง ๆ หรือเป็นคลื่น หรือมีอาการฝอย ๆ แปลบ ๆ ๆ ๆ ? เป็นเส้นนะ
ลองสังเกตต่อนะ สิ้นสุดปุ๊บนี่ เส้นนี้เขาหายยังไง ? เขาหายไปหรือ ตั้งอยู่ ? หายนะ เขาหายแบบไหน ? ลองสังเกตดูนะ... ในเส้นนั้นเขาชัดเท่า กันตลอดไหม ? เป็นยังไง ? ที่ไม่ชัดเท่ากัน เขามีลักษณะยังไง ? อันนี้คือ ของจริงนะ ตามความรู้สึกจริง ๆ รู้สึกเป็นไง ? เท่ากันไหม ? ไม่ รู้สึกว่ามี เป็นคลื่นเป็นสะดุด หรือเดี๋ยวชัดเดี๋ยวจาง เดี๋ยวชัดเดี๋ยวจาง... ตรงนี้เขาเรียก “อาการเกิดดับในขณะที่เราเคลื่อนไหว” สังเกตไหม การที่จะเห็นอาการเหล่า นี้ได้ จิตเราต้อง “นิ่ง” มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่รู้ว่าไปแล้วกลับ
เพราะฉะนั้น เวลาเราก้าวเท้าเดิน ขณะที่ยกเท้าปุ๊บนี่ ค่อย ๆ ไปก่อน ไมต่ อ้ งเรว็ ถา้ เรว็ แลว้ สตเิ ราจะตามไมท่ นั จติ เราจะไมเ่ กาะตดิ กบั อาการ เพราะ ฉะนั้น เราต้องนิ่งแล้วสังเกตไป ทันไหม ? ทันนะ รู้สึกไหมว่าเวลาเราเคลื่อน เขามีอาการยังไง ? ชัดไหม ? รู้สึกชัด ที่ว่าชัดนี่ ไม่ว่าจะเป็นหนักหรือเบา ก็ตาม เพียงแต่ให้รู้ชัดก่อน เพราะการที่เรา “รู้ชัด” หมายถึงว่า “สติเราอยู่กับ ปัจจุบัน” ไม่ว่าจะเป็นเส้น หรือเป็นอาการสะดุด หรือมีอาการเป็นคลื่นก็ตาม ให้รู้ชัดว่าเขาเป็นอย่างไร นั่นหมายถึงว่าสติเราอยู่กับปัจจุบัน และเมื่อสังเกต ไปเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงก็จะชัดขึ้น อาการเกิดดับก็จะชัดขึ้น
แล้วอีกอย่างหนึ่ง เวลาเราเดิน ทาใจให้ว่างคลุมตัวก่อน แล้วค่อยเดิน แล้วให้ใจที่ว่าง ๆ เบา ๆ อยู่ข้างหน้า เดินเข้าไปในความว่าง เราจะได้เดิน