Page 436 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 436
418
อาการเกิดดับของแสง รู้อาการเกิดดับของเวทนา หรือรู้อาการเกิดดับของ ลมหายใจ รู้อาการเกิดดับของอาการเต้นของหัวใจ เพราะฉะนั้น ให้เรารู้ชัด
ถ้ามันสลัว ๆ มัว ๆ ไม่ชัดเจน คลุมเครือ ลองเอาจิตเราเข้าไปใน บรรยากาศที่มัว ๆ สลัว ๆ ข้างหน้า แล้วลองดูว่า ที่มัว ๆ สลัวอยู่เขามีการ เปลี่ยนไหม หรือเขาอยู่อย่างนั้น หรือเข้าไปแล้วเขามีอาการขยายออก ขยับ มีอาการเคลื่อนไหว มีอาการกระเพื่อม มีอาการกระพริบ ? นั่นคือพิจารณา รู้การเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเห็นการกระเพื่อม การไหว การกระพริบ เกิดขึ้น นั่นคือการเปลี่ยนแปลง หรือที่เรียกว่า “เห็นความเป็นอนิจจัง”
“อนิจจัง” หมายถึง ความเปลี่ยนแปลง แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา มี การเปลี่ยนอยู่เรื่อย จากอย่างนี้ก็ไปเป็นอย่างนั้น จากอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น ยิ่งดูยิ่งเห็นการเปลี่ยนแปลง ยิ่งเห็นการเปลี่ยนแปลง จิตเราจะยิ่งตื่นตัว แตถ่ า้ เราพยายามบงั คบั ใหน้ งิ่ ใหห้ ยดุ อยทู่ เี่ ดยี ว อยทู่ วี่ า่ ง ๆ เฉย ๆ อยา่ งเดยี ว โดยที่ไม่เห็นอาการเกิดดับหรือไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่นาน...จิตเราพอ ว่างจากงาน พักผ่อนสักพัก เดี๋ยวก็หลับ สติอ่อนเดี๋ยวก็หลับ
แต่ถ้าเราพิจารณารู้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลง รู้ชัดถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้น “เฉพาะหน้าเรา” ไม่ว่าจะเป็นอาการอะไรก็ตาม ให้เรา “รู้ชัด” ดูว่า “เขาเกิด แล้วดับยังไง ?” “มีแล้วหายไปไหม ?” ไม่ว่าจะเป็นอาการเคร่งตึง หนัก ๆ ตื้อ ๆ ถ้ารู้สึกว่าสมองเราตื้อ ๆ ก็เอาความรู้สึกเข้าไป แล้วขยายความรู้สึก ให้กว้างกว่าสมอง ให้มันทะลุออกไป ให้มันโล่ง ชาระกายให้ผ่องใส ชาระ กายให้เบา ให้โปร่ง ให้โล่ง จิตเบา กายก็เบา จิตสงบ กายก็สงบ จิตขุ่นมัว กายก็อ่อนกาลัง จิตเป็นทุกข์ กายก็อ่อนล้า จิตเศร้าหมอง หน้าตาก็ห่อเหี่ยว ถ้าจิตผ่องใส หน้าตาก็เบิกบาน
เพราะฉะนั้น การที่เรามีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน ก็จะทาให้จิตใจของเรา มีความสงบ มีความตื่นตัว มีความเบิกบาน มีความผ่องใส นั่นเป็น “ผลที่ ตามมา” “เหตุ” ที่ทาให้เป็นอย่างนั้นก็คือ การตามรู้อารมณ์ปัจจุบันนั่นเอง