Page 19 - C:\Users\Acer\Documents\Flip PDF Professional\ebook\
P. 19

แปล
                                                                                              วรรณศิลป์
                                                                                              เป็ น = อุปลักษณ์
          เมื่อพระนางมัทรีกราบทูลพระเวสสันดรมากเท่าไหร่ พระองค์ก็ไม่แม้แต่จะพูดด้วย พระนางจึงยิ่งโศกเศร้าสะอึก
      สะอื้นมากกว่าเดิม พระนางจึงขอลาออกมาหาลูกๆแทน แสงจันทร์ส่องสว่างเต็มไปทั่วท้องฟ้ า นางเดินไปหยุดใต้ต้น  ดั่ง = อุปมา

      หว้าแล้วเอ่ยขึ้น "ต้นไม้ใหญ่ใกล้วัดนี้ งดงามด้วยกิ่งก้านทั้งใบชะอุ่มรวมกันเป็นช่อเหมือนฉัตรทอง" แสงจันทร์ส่องโดน  ระรี่ = อัพภาส
      น ้าค้าง โดนกับแสงกรวดทรายใต้ต้นหว้าสว่างวาววับ เหมือนกับมีคนเอาแก้วมาโปรยรอบๆพื้นที่แห่งนี้ งามอย่างกับ  หริ่ง ๆ = สัทพจน์
      ต้นไม้ในสวนของพระอินทร์ในเมืองสวรรค์มาปลูกไว้ ลูกรัก แม่กับเจ้าเคยมานอนเล่นกันอย่างเย็นสบาย พวกจักจั่นก็  ไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย = ปฏิปุจฉา
      พากันส่งเสียง แต่ตอนนี้ลูกรักของแม่ทั้งสองไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย เห็นก็แต่ต้นไทรเรียงกันไป มีรากห้อยระย้าลงมา เจ้า
                                                                                              นํ้า, พระพาย, ฝูงปลา, นก  = สมมติภาวะ,
      เคยมาห้อยโหนแกว่งชิงช้ากันแล้วเล่นซ่อนหากันบริเวณนี้แล้วเจ้าก็ยังเคยมาอาบน ้าในสระบัวแห่งนี้พระนางเดินหาร
                                                                                              บุคคลวัติ
      อบๆแล้วจึงเอ่ยว่า น ้าเอ๋ยเคยมีเปี่ยมสระเหตุใดจึงแห้งขอดลงเสียได้ ลมเอ๋ยเคยพัดมาโดนกลีบบัว พากลิ่นหอมฟุ้ งไป
                                                                                              เกรียบกรอบ = สัทพจน์
      ทั่วเหตุใดจึงเสื่อมหายไป ฝูงปลาเอ๋ยเคยผุดขึ้นมา บางตัวก็ขึ้นมาลอยชมแสงจันทร์เหตุใดจึงไม่มีเสียแล้ว นกเอ๋ยเคยบิน
                                                                                              กู่กู๋ = สัทพจน์
      มาจิกเหยื่ออยู่ทุกวัน วันนี้แปลกตาแม่ไม่เห็นเลยสักตัว ลูกเอ๋ยเจ้าเคยมาเที่ยวเล่นแม่ไม่เห็นลูกแล้ว เห็นแต่สระอันว่าง

      เปล่าช่างวังเวง นางก็เดินไปทั่ว เที่ยวหาลูกตามป่าเขา ทุกสุมทุมพุ่มไม้ ตามป่ าสูงต้นไม้ใหญ่ ภายในป่ าเงียบสงัด ได้ยิน
      แต่เสียงนกกาเหว่าร้องไปทั่วป่ า จู่ ๆนางเหมือนจะได้ยินเสียงลูก ๆตอบกลับ จึงเดินเข้าไปดูเห็นฝูงสัตว์นอนอยู่
      นางก็ยิ่งรู้สึกถอดใจคร ่าครวญที่ไม่ใช่ลูกตัวเอง เลยรีบเดินไป หมอบไป แต่นางกลับไปเหยียบพื้นเสียงดังเลยเหลียว
      หลัง เห็นเงาตะคุ่ม ๆเป็นรูปคนอยู่ตรงพุ่มไม้แล้วหายไป พระนางเที่ยวตะโกน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยน ้าตา จึงพูดว่า เวลา

      นี้ ทั้งดวงดาวดวงจันทร์ก็ลาลับฟ้ า สุดก าลังที่แม่จะหาลูกๆแล้ว ฝูงลิงฝูงนกนอนหลับงัวเงียกัน แต่แม่เดินซวนเซ
      เสาะหาลูกทุกราวป่า สุดสายตาที่แม่จะตามไปเห็นใช้หูฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน สุดเสียงแล้วที่แม่จะร้องเรียกหาลูก สุดฝีเท้า
      ที่แม่จะเหยียบดินเดินไปหา สุดสิ้นปัญญาจะหาทางไป ทางจะพบลูกน้อยสักนิดก็ไม่มีวี่แววเลย นางจึงเอ่ยว่า ลูกๆของ
                                                                                                                                  16
      แม่เอ๋ยหรือพวกลูกจะไปเกิดที่อื่นเหมือนที่แม่ฝันเมื่อคืนเสียแล้ว
   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24