Page 139 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 139

71
เถิด ใครจะรับความแห้งเหี่ยว ไม่มีอะไรให้เขา เขาก็รับไม่ได้ แต่การที่เราน้อมบุญ สิ่งหนึ่งก็คือว่า คนที่ได้ รบั กอ่ นคอื ตวั เรา เหมอื นเรามที รพั ยม์ พี ลงั ของบญุ ตรงนแี้ หละแลว้ เราคอ่ ยใหไ้ ป ใหไ้ ปเสรจ็ อยา่ ใหจ้ นหมด นะ หรือถ้าให้หมดแล้ว ก็กลับมาเติมใหม่ พอแล้ว...กลับมา มาดูที่ตัวเอง แล้วก็เติมพลังบุญให้เต็ม ให้เต็ม ตรงนี้
แลว้ คดิ ดสู วิ า่ จติ ทเี่ ปน็ บญุ อนั นี้ เขาแผไ่ มม่ ขี อบเขตกไ็ ด้ ไปไกลแคไ่ หนกไ็ ด้ นนั่ คอื การเดนิ ทางของ จติ เรา ใชเ้ วลาเทา่ กนั แตไ่ ปไดไ้ กลมาก ๆ เพราะจติ เรา เวลาเดนิ ทางไมอ่ าศยั ระยะเวลา ขณะเดนิ ทางไมอ่ าศยั ระยะเวลา แว็บเดียว แว็บเดียวก็เปลี่ยนภพชาติแล้ว เราเดินทางไปในเมือง ยังใช้เวลาเดินทางตั้งหลายนาที นั่งรถตั้งหลายนาที แต่ถ้าเปลี่ยนภพชาติ ตายปุ๊ปเกิดปั้ปเลย เปลี่ยนชาติไหน...ไม่รู้ เกิดอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ เขาเปลี่ยนเร็ว เพราะวิถีจิตของเรา การเปลี่ยนตรงนี้ เขาเปลี่ยนเร็ว
เพราะฉะนั้น การที่เราเพิ่มพลังบุญให้กับตนเองนี่นะ เพิ่มพลังแบบนี้ให้กับชีวิตเราทุกวัน ๆ ไม่ว่า ตื่นเช้าขึ้นมา ทาจิตให้ว่าง ๆ ชาระจิตใจของเราให้ว่างให้เบา แล้วเติมอาหารใจของเรา ความสุข ความอิ่มใจ ความสบายใจ เติมเข้าไป แล้วไปทางาน เอาจิตที่ดีแล้วไปทางาน ใช้ได้กับชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น การที่ เราแยกรูปนามนี่นะ การที่เราปฏิบัติ การยกจิตขึ้นสู่ความว่าง หรือแยกรูปนาม ผลที่ตามมามีเยอะแยะ ที่ เราสามารถพัฒนาต่อไปได้ เราเติมความสุขได้ เราก็เพิ่มความมั่นคงได้ เพิ่มความสุขได้ ก็เพิ่มความสงบได้ เช่นเดียวกัน ไม่ต้องค่อย ๆ ไต่แล้ว
ต่อไปเราก็จะ...พอนิ่งปุ๊ป ความสงบก็เกิดขึ้นมาเลย ความชานาญก็เกิดขึ้น นี่แหละคือการปฏิบัติ ธรรม พอเราอาศัยปัญญา พอเรามีปัญญา รู้ว่าต้องทาอย่างไรถึงเป็นแบบนี้ ก็จะง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นต้อง จาให้ได้นะว่า ที่ทาอย่างไรความสุขถึงเกิด อาจารย์บอกอย่างไร เราเติมความสุขได้อย่างไร ไม่ใช่แบบ...จา ไม่ได้แล้ว พูดดีมาก เมื่อคืนดีมาก ตื่นเช้าจาไม่ได้แล้ว คือจาไม่ได้สักอย่าง ดีมาก...แต่จาไม่ได้สักอย่างเลย ไม่ได้...ต้องจา ขอให้ได้สักอย่าง คืออย่างน้อยรู้ว่า การแยกรูปนาม
อาจารย์สรุปให้ฟังอีกนิดหนึ่งนะ เผื่อทบทวนความจาของโยคี เมื่อกี้นี้ที่พูดมานี่นะ เรื่องอะไรบ้างนี่ นะ อาจารย์ก็ลืมเหมือนกันนะ เห็นไหม...ไม่เที่ยง หนึ่ง การแยกรูปนาม แยกกายแยกจิต เวลาเรากาหนด อาการพองยบุ ทาไมต้องสังเกตว่าระหว่างพองยุบหรอืลมหายใจเข้าออกกับจิตที่ทาหน้าทรีู่้วา่เขาเป็นส่วน เดียวกันหรือคนละส่วนกัน จากนั้น สังเกตจิตที่ทาหน้าที่รู้ กับตัวเป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน จึง กระโดดขา้ มไปวา่ พอเรายกจติ ขนึ้ สคู่ วามวา่ งไดแ้ ลว้ นนี่ ะ เรากจ็ ะเหน็ วา่ พอยกจติ ขนึ้ สคู่ วามวา่ ง จติ ทวี่ า่ ง ๆ กับตัวเป็นคนละส่วนกัน
แต่ทีนี้เราแยกแบบนี้ได้ ก็ต้องใช้กับอย่างอื่นด้วย ใช้กับอารมณ์อื่น รูปนี่นะไม่ใช่เฉพาะร่างกายเรา อย่างเดียว ภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยินก็จัดเป็นรูป เพราะฉะนั้น เวลาเราได้ยินเสียง ก็ให้จิตเรากว้างกว่าเสียง เวลาเห็นภาพให้จิตเรากว้างกว่าภาพ เป็นคนละส่วนกับภาพ อันนี้ใช้บ่อย ๆ เลย กับชีวิตประจาวัน เวลา เราปฏิบัติ ใช้ซ้า ๆ บ่อย ๆ เมื่อไหร่ที่เผลอมีความคิดขึ้นมา มีภาพ คิดปุ๊ป ภาพนี้แว็บขึ้นมา ก็ให้จิตที่รู้ กับ ภาพนี้เป็นคนละส่วนกัน


































































































   137   138   139   140   141