Page 351 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 351

283
นุ่มนวล อ่อนโยน ว่าง ๆ แม้แต่เดินไป แล้วตัวลอย ไม่มีอาการกระทบ ไม่มีอาการวูบวาบเลย มันเดินแล้ว ตัวเบาลอยอย่างเดียว ไม่ใช่เลื่อนลอยนะ ต้องแยกให้ชัด เดินแล้วตัวลอย ๆ เหมือนตัวเบา เหมือนตัวจะ ลอย แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ แน่นอนว่าถ้าเดินแล้วเหมือนตัวเบาลอยนี่นะ อาการสัมผัสมันจะไม่ชัด แค่นิดเดียว
บางทีแค่รู้สึกเบา ๆ เหมือนแค่เหยียบบนก้อนเมฆ บนปุยนุ่น ปุยนุ่นยังรู้สึกถึงการสัมผัส ยังรู้สึก สัมผัสถูกปุยนุ่น ถ้าเดินบนก้อนเมฆบาง ๆ นี่นะ สิ่งหนึ่งเหมือนไม่รู้สึกสัมผัส แต่คาว่าก้อนเมฆ ตรงนั้น ที่รู้สึกรอบ ๆ เท้า มันจะมีอาการอะไร มันยุบไป กระจายออก ตรงนั้นจะรู้สึกได้ หรือเป็นแค่ความเบาที่ แหวกอากาศไป แล้วก็หาย แหวกไปแล้วก็หาย หรือแม้แต่ไม่แหวกอากาศ เบาจนรู้สึกว่ามันซึมเข้าไปใน อากาศ หายเข้าไปในอากาศ ก็ยังบอกได้ ถ้าบอกได้ก็ยังบอก ซึมแล้วหาย ๆ ๆ หายแต่ละครั้งนี่นะรู้สึก อย่างไร สภาพจิตเรารู้สึกอย่างไร นี่คือสภาวธรรมที่เกิด หายแต่ละครั้ง ยิ่งเห็นตรงนั้นมากขึ้น จิตเป็น อย่างไร ยิ่งว่าง ยิ่งเบา ยิ่งใส ยิ่งสะอาดขึ้น หรือยิ่งโล่ง ตัวยิ่งหาย ๆ ๆ ๆ แล้วเป็นอย่างไร ตรงนี้แหละคือ จุดที่ต้องสังเกต
เพราะฉะนั้นถ้าไม่ชัดเมื่อไหร่ ถ้ารู้สึกว่างมาก ๆ เลย รู้สึกว่าว่างจนแทบจะมองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ ตัวนี้แหละ ให้นิ่งมากขึ้น ตั้งใจมากขึ้น นิ่งมากขึ้น สภาวะละเอียดขึ้น ตรงที่นิ่งมากขึ้น ก็คือเพิ่มสมาธิ มากขึ้น เพราะสภาวะเขาละเอียดขึ้นจนแทบมองไม่เห็นเลย ว่างจนหาไม่เจอ แต่รู้สึกลึก ๆ ยังมีอยู่ ไม่ใช่ ว่าสติอ่อน อันนี้สังเกตดูนะ เหมือนเราตั้งใจ ตรงที่ไม่เรียกว่าสติอ่อนเป็นอย่างไร ตรงที่ไม่เรียกว่าสติอ่อน ก็คือว่า ใส่ใจแล้วดูแล้วนี่นะ มีเจตนารู้ชัด ดูอยู่เหมือนเดิม แต่อาการมันไม่เห็น รู้สึกนิด ๆ ตรงนี้แหละ ที่ ต้องเพิ่มความนิ่ง นิ่งแล้วใส่ใจมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ดูเท่าเดิมแล้วเราก็รู้สึก สภาวะเขาละเอียดขึ้น แล้วดู เหมือนเดิมเรื่อย ๆ ทาไมไม่เห็น ก่อนหน้านี้ยังดีเลย ยังมีเห็นชัด มีอะไรวูบวาบ ๆ ตื่นเต้นมาก พอปฏิบัติ ไปสักพักว่างหมดเลย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย รู้สึกไม่เอาแล้ว ไม่มีตื่นเต้นแล้ว พอแล้ว ยิ่งปฏิบัติเหมือน ตัวเองทาไม่ได้ อันนี้...ไม่ได้
จรงิ ๆ ตอ้ งสงั เกตใหช้ ดั ทไี่ มต่ นื่ เตน้ เพราะวา่ เขาวา่ งมากกวา่ เดมิ เพราะวา่ จติ สงบมากกวา่ เดมิ เพราะ ว่าปัญญาที่เกิดขึ้นแล้ว รู้แล้วว่านี่คือสภาวธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ จิตเขาเห็นแล้ว เขาไม่ตื่นเต้นกับ ของเดิมที่เคยเห็นแล้ว ก็จะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เคยเห็นแล้วนี่นะ อย่าให้รู้ว่าเป็นของใหม่ คือในอาการที่เคยเห็นนี่แหละ ข้างในนั้นยังมีอะไรมากกว่าที่เรานั่งมองเฉย ๆ มีอะไรมากกว่าที่เราคิด ว่าที่ เราเห็นอยู่ตอนนี้ ให้สังเกตนิ่ง แล้วสังเกตเข้าไปข้างใน เพิ่มความนิ่งแล้วรู้เข้าไป ทาแบบนี้ ทาซ้า ๆ เพราะ ฉะนั้น ความนิ่งก็คือการปรับอินทรีย์ เพิ่มความนิ่งก็คือการปรับอินทรีย์ คือการเพิ่มกาลังของสมาธิ
ทีนี้ทาไมเพิ่มสมาธิ สติเพิ่มอย่างไร คือมีสติอยู่แล้ว แต่สมาธิเราน้อย ตรงไหนเรารู้ชัดว่ามันเป็น แบบนี้ แต่พอเพิ่มความนิ่งปึ๊บ สมาธิมากขึ้น สติก็มีกาลังขึ้นด้วยเช่นกัน เหมือนเวลามีสมาธิ สมาธิเยอะ... สงบ มีความสงบแล้วนี่นะ...ไม่ตื่นตัว ในความสงบไม่ตื่นตัว พอนิ่งแล้วรู้ชัด ๆ ถึงความสงบอันนั้น สติก็ จะเพิ่มขึ้น จริง ๆ เพิ่มเจตนาที่จะรู้ให้ชัด เพิ่มเจตนาที่จะรู้ให้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้น เขาเป็นอย่างไร ก็ตาม ให้รู้ชัดตามนั้น


































































































   349   350   351   352   353