Page 447 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 447
379
จริง ๆ ถ้าถามว่าจุดไหนบอกว่าเป็นเรา...ก็กว้างไป เมื่อกี้นี้เราพิจารณาถึงกายกับจิต ก็ต้องสังเกต ทีละอย่าง ว่าจิตที่ว่างเบา เขาบอกว่าเป็นเราไหม จิตที่กว้างจิตที่เบาบอกว่าเป็นเราไหม ไม่ใช่ว่าคิดว่าเป็น เราหรือเปล่า สังเกตนะ คาถามนี่นะ เราจะรู้สึกว่า เอ่อ!ถามว่าคิดว่าอย่างไร เราก็ใช้ความคิด แต่ถามว่า เขาบอกว่าเป็นเราไหม ตัวที่...จิตที่เบา ๆ ว่าง ๆ ที่กว้าง ตัวเขาเองบอกว่าเป็นเราไหม หรือคิดว่านะ แล้ว กลับมาดู แล้วตัวที่นั่งอยู่ในที่ว่าง ๆ เบา ๆ ตัวที่นั่งอยู่ในที่ว่าง ๆ เบา ๆ ตัวนั้น...บอกว่าเป็นเราไหม
ไม่ใช่ว่า จาได้ไหมว่าเป็นใครหรือเปล่า คาถามคนละอย่างกัน คิดว่าเป็นเราหรือเปล่า อันนี้คือ ถ้า จา...ตัวสัญญา แน่นอนจาได้ว่าเป็นเรา แยกรูปนามแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นคนขี้หลงขี้ลืมนะ ไม่ใช่ว่าว่างแล้ว จะจาอะไรไม่ได้ จิตว่างแต่ก็ยังจาได้ว่า จิตว่างจิตเบาก็จาได้ นี่รูปที่นั่งอยู่ ถ้าเรียกชื่อก็เรียกถูกนั่นแหละ ถ้าจิตว่างมันโล่งเบาหมด ตัวก็อยู่ในที่ว่าง ๆ จาไม่ได้ นี่ตัวใครนั่งอยู่ในที่ว่าง ๆ อันนี้ก็มากเกินไปนะ มีบาง ครั้งแหละ มันถูกตัดไป สัญญาถูกตัดไป แต่น้อยมากคือหายไปเลย เอ๊ะ!นี่ใครนั่งอยู่ เขาเป็นใคร อันนี้ ก็มี แต่น้อยนะ
แต่ถ้าสัญญาแล้ว เขาจะจาได้ แต่พอพิจารณา ที่สาคัญก็คือว่า การกาหนดรู้แบบนี้ การเห็นเป็น คนละส่วน จิตที่ว่างไม่บอกว่าเป็นเรา ตัวที่นั่งอยู่ไม่บอกว่าเป็นเรา เป็นแค่รูป ๆ หนึ่ง สังเกตแค่นั้น คือ เห็นสองอย่างเป็นแบบนี้ จิตใจรู้สึกดี ไม่ดี หนักเบา สบายไม่สบาย การที่สังเกตตรงนี้ก็คือว่า เห็น...พอไม่ บอกว่าเป็นเรา นั่นคือเห็นความเป็นอนัตตา พอการเห็นความเป็นอนัตตาแบบนี้ สภาพจิตใจเป็นอย่างไร เขาโล่ง โปร่ง เบา แล้วดีไหม นี่คืออย่างหนึ่ง
การดจู ติ ทเี่ ปน็ อยู่ ไมใ่ ชว่ า่ ชอบหรอื ไมช่ อบ ไมใ่ ชว่ า่ จะใหเ้ กดิ หรอื ไม่ คอื เหมอื นกบั เราเปดิ ไฟ ตอนที่ เราอยู่ท่ามกลางความมืด ท่ามกลางความมืดมิด แล้วเราก็ผัสสะกระทบอะไรก็ไม่รู้ เรากระทบถูกกาย เดิน ไปกระทบ เดี๋ยวอันนั้นกระทบตัว กระทบตรงนั้น กระทบตรงนี้ พอเปิดไฟสว่างวาบขึ้นมาปึ๊บ เห็นว่าตัวเรา อยู่ตรงนี้ อารมณ์นั้นอยู่ตรงนั้น แยกส่วนกัน ถามว่าแสงสว่างตรงนี้ให้ผลดีกับเราไหม จิตที่ว่างแล้วรู้สึก ดีไหม นี่คืออะไร เหมือนเป็นที่พึ่งของเรา ปัญญาที่รู้ชัดถึงความไม่มีตัวตน ปัญญาที่เกิดขึ้นมา เห็นถึง รูปนามเป็นคนละส่วนกันแล้วนี่นะ ตรงนี้แหละ ถามว่าจะเกิดประโยชน์อะไร เราจะทาอย่างไรต่อ
ทีนี้ก็คิดต่อว่า ผลที่เกิดขึ้นโดยตรง ผลที่เกิดขึ้นโดยตรง ก็คือว่าเมื่อเห็นถึงความเป็นคนละส่วน ไม่ต้องทาอะไร จิตก็สว่าง จิตก็เบา โล่งแล้ว ความทุกข์ไม่เกิดขึ้น แค่แสงสว่างเกิดขึ้น เราเดินไม่ชนสิ่งของ นั่นคือผลที่เกิดขึ้นโดยตรงแล้ว อารมณ์อะไรที่พุ่งเข้ามากระทบ เข้าไม่ถึงเรา พอเห็นแล้วหลบได้ อารมณ์ที่ เข้ามา พุ่งเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนลอยในที่ว่าง ๆ หมดในที่ว่าง ๆ เข้าไม่ถึงตัว ไม่กระทบ ถูกตัว ไม่กระทบถูกใจเรา นั่นก็เป็นประโยชน์อย่างมากแล้ว เราจะหาอะไรอีก
หรือจะถามว่า แล้วไฟนี้อย่างไรต่อ สว่างแล้วอย่างไรต่อ เรากาลังเดินทางท่ามกลางความมืด พอ มีแสงสว่างขึ้นมา ต้องถามไหม แล้วอย่างไรต่อ คนฉลาดไม่ต้องถาม จะดีใจเลย ฉันมีแสงสว่างส่องทาง แล้ว จะได้เดินต่อไป ส่องต่อไปแล้วก็เดินไป ทีนี้ส่องต่อไปเดินต่อไปคืออะไร นอกจากเห็นว่ากายกับจิต เป็นคนละส่วนกัน แล้วอารมณ์อื่นล่ะ จิตที่ว่างเบากับอารมณ์อื่น