Page 449 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 449
381
เพราะฉะนนั้ คอื อาการเวทนาทเี่ กดิ ขนึ้ อนั นพี้ ดู จรงิ นะ การทรี่ ชู้ อ่ งวา่ งระหวา่ งเวทนา ชอ่ งวา่ งระหวา่ ง อาการเกิดดับของเวทนา เพราะเราจะเห็นว่า เวทนาก็ไม่เที่ยง เวทนาก็เป็นคนละส่วนกัน เวทนาก็มีอาการ เกิดดับ ดับแล้วก็ว่าง เดี๋ยวก็เวทนาขึ้นใหม่แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นใหม่ดับไป เรารู้ช่องว่างแบบนี้ จะทนจะอยู่ กับเวทนา หรือทนกับเวทนาได้ และเวทนาที่มีการเกิดดับมีช่องว่าง เข้าไปตรงนี้ เป็นการเจาะสภาวะอย่าง หนึ่ง และทาให้สติเรามีกาลังมากขึ้น พอเป็นแบบนี้ สิ่งที่ตามมาคืออะไร เราจะไม่หลงเข้าไปยึดเวทนาเป็น ของเที่ยง เวทนาเป็นของเรา และก็ไม่มีความเป็นเจ้าของ
เพราะเวทนาที่เกิดขึ้นจึงมีช่องว่างให้พัก มีช่องว่างให้จิตได้อยู่ ๆ ๆ ความทรมานจะน้อย เพราะ ฉะนั้น เวลามีเวทนาทางกาย เวทนาทางกายเป็นทุกขเวทนา แต่จิตกลับเป็นความสงบ มีช่องว่าง มีที่อยู่ ของจิต จิตไม่ทุรนทุรายตาม ตรงนี้ที่สาคัญก็คือว่า จิตไม่ขุ่นมัวเศร้าหมอง ไม่ถูกกิเลสครอบงา ไม่มีอัตตา เกิดขึ้น ไม่มีตัวตนเกิดขึ้นนี่นะ เวทนานี่นะไม่พาคนเราไปสู่อบายนะ ถ้าเมื่อละกิเลส ละสังขารไปแล้วนี่นะ ไม่พาไปสู่อบาย แต่เวทนาที่จะพาไปสู่อบาย คือเวทนาที่เกิดจากโลภะโทสะโมหะ ที่ถูกครอบงา มีความ ทุรนทุราย กระวนกระวาย ขุ่นมัว เศร้าหมอง จิตมีแต่ความขุ่นมัวเศร้าหมอง
สงั เกตดวู า่ เวลาทกุ ขท์ างกายเกดิ ขนึ้ แลว้ จติ ทกุ ขต์ าม จติ ขนุ่ มวั เศรา้ หมองตาม สงิ่ ทตี่ ามมาคอื อะไร สังขารการปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา นั่นคือตัวสังขารการปรุงแต่ง ตรงนี้นะ สิ่งที่สังขารการปรุงแต่งตรงนี้นะ กลายเป็นอะไร นี่แหละจะเป็นมโนกรรม เป็นมโนกรรมคือการกระทาทางจิต การคิด...เดี๋ยวจะทาโน่นทานี่ มีเจตนาที่ชัดเจน คิดไปแล้ว เกิดความมีตัวมุ่งเข้าไป ๆ ถ้าเป็นถูกครอบงาด้วยอกุศลแล้ว ถ้าเกิดละขันธ์ ไปตรงนั้น ทุคติเป็นอันหวังได้ ทุคติเป็นอันหวังได้ แต่ถ้าเรารู้ช่องว่างระหว่างอาการ เวทนาก็เป็นธรรมดา ของเวทนาทางกาย เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป
จิตที่รู้ช่องว่างระหว่างเวทนา จิตมีแต่ความสงบขึ้น นิ่งขึ้น ตั้งมั่นขึ้น ๆ พอตั้งมั่นขึ้น กลายเป็นว่า จิตผ่องใสขึ้น ผ่องใสขึ้น สะอาดขึ้น ถามว่าเวทนา ถ้าละตรงนั้นนี่นะ ละขันธ์ดับขันธ์ตรงนั้น สุคติเป็นอัน หวังได้ ทาไมถึงหวังได้ เพราะขณะที่มีเวทนาอยู่ จิตยังผ่องใสได้เลย เพราะนั่นคือเป็นที่อยู่โดยปริยาย นี่ คือมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีปัญญาเป็นที่พึ่ง ตรงนี้สาคัญมาก ๆ ตรงนี้แหละที่จะเป็นการพึ่งตัวเอง เขาเรียกว่า อัตตาหิ อัตตโนนาโถ เราจะพึ่งตัวเองได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้วนเวียนไปสร้างกรรมใหม่ต่อไป ใน สิ่งที่ไม่ดี กรรมที่ไม่ดี
เพราะฉะนั้น การเจริญกรรมฐาน การพิจารณาการแยกรูปนามอันนี้ มีอานิสงส์อย่างมากมาย มี อานสิ งสม์ หาศาล แมท้ สี่ ดุ แลว้ คอื การตดั ภพชาตขิ องเรา ตดั ภพชาติ ละอวชิ ชาอยา่ งสนิ้ เชงิ กต็ ดั วฏั สงสารไป แตท่ เี่ ราเหน็ แบบนไี้ ดน้ นี่ ะ การทเี่ หน็ ในลกั ษณะอยา่ งนี้ เราจะเหน็ เลยวา่ เวทนาเกดิ ขนึ้ และดบั ๆ มนั เหมอื น การตัดวงจรไปชั่วขณะ ตัด ๆ ๆ เกิดแล้วดับ ดับ ดับไป จิตก็จะมีความตั้งมั่นขึ้น ใสขึ้น สะอาดขึ้น เพราะ การแยกรูปนาม การแยกระหว่างรูปกับนาม เวทนากับจิตแยกกัน จะทาให้เห็นอาการเกิดดับได้ง่ายขึ้น เมื่อ ไหรท่ เี่ ราแยกรปู แยกนาม แยกนามกบั นาม หรอื ทเี่ รยี กวา่ พอเรายกจติ ขนึ้ สคู่ วามวา่ งปบ๊ึ ทา ไมถงึ เหน็ อาการ เกิดดับได้ง่ายขึ้น เพราะทุก ๆ อารมณ์ก็เกิดดับอยู่แล้ว