Page 97 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 97
29
ไม่ใช่ว่าเราทาไม่ได้ สังเกตไม่ได้ แล้วพอเราพิจารณาแบบนี้ จะทาให้เราคิดการงานไม่ได้...ไม่ใช่ ลองสังเกตดูเลยว่า เรายิ่งดับอกุศลเร็วเท่าไหร่ ปัญญาทางโลกเราจะคิดถึงการงานมันคล่องมากขึ้นเท่านั้น นี่คือประโยชน์ที่จะได้ นั่นคือการปฏิบัติธรรม เราทาแบบนี้เป็นปกติ ๆ กลายเป็นว่าปกติเราจะอยู่กับการ เจริญสติมีปัญญา เราก็จะอยู่มีปัญญาทั้ง ๒ อย่าง ปัญญาอย่างหนึ่งเห็นการเกิดดับ ปัญญารู้วิธีดับทุกข์ ปัญญาอีกอย่างหนึ่งรู้วิธีแก้ปัญหาก็ตามมา เมื่อไม่ทุกข์จิตเรามองกว้าง รู้กว้างขึ้น วิธีแก้ปัญหาก็จะกว้าง ขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นนี่แหละเป็นสิ่งสาคัญ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทาอะไรอยู่ อยู่ในอิริยาบถไหน เราก็ สามารถเจริญสติปฏิบัติธรรมได้
แต่การที่เรามีเวลามาแบบนี้นี่นะ การแบ่งเวลามาแบบนี้ เรามีเวลานั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วมุ่งที่ จะพิจารณาอาการพระไตรลักษณ์ การเกิดดับของทุก ๆ อารมณ์เป็นหลัก โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะทางาน ผิดพลาดหรือเปล่า แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเรามีเจตนาที่จะมุ่งรู้อยู่กับปัจจุบัน รู้อาการพระไตรลักษณ์ ตรงนี้ จากที่เราเคยวุ่นวายในชีวิตของเราที่ผ่านมา พอจิตเราเริ่มมีสมาธิสงบมากขึ้น จิตเราเป็นระเบียบ มากขึ้น ปัญญาที่แก้ปัญหาทางโลกก็จะตามมา ก็ปรากฏเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน เราได้ปัญญา ทั้งสองส่วน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม การเจริญภาวนา เหมือนเรามีแต่ได้กับได้ ถ้าเรารู้จักใช้ปัญญา พิจารณาให้เป็น เราจะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง กับการปฏิบัติธรรมของเรา
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อเราตั้งเจตนาแล้ว ขอให้ใส่ใจรูปนาม รู้อยู่กับสภาวะของเรา ให้เยอะขึ้น ดูรูปนามดูกายใจของเราให้มาก ๆ ยิ่งเรารู้จักตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นคนอื่นชัดเท่านั้น ถ้าเราเห็นคนอื่นชัดอย่างไร ขอให้มองคนอื่นเหมือนมองตัวเอง ให้มองตัวเองเหมือนมองคนอื่น อย่าให้ มีความแตกต่างกัน แล้วเราจะเห็นความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร เราควรทาอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ก็ขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอให้พวกเราปฏิบัติตามอัธยาศัยกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อย ส่งอารมณ์กัน เพราะฉะนั้นวันนี้ขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน เจริญพร