Page 27 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 27
547
อกี อยา่ งหนงึ่ ขณะทมี่ คี วามคดิ เกดิ ขนึ้ เวลาเราคดิ ถงึ เรอื่ งตา่ ง ๆ คดิ แลว้ จติ ใจเปน็ อยา่ งไร... มคี วาม คิดเกิดขึ้น ทาให้เรารู้สึกกระสับกระส่าย วุ่นวาย อึดอัด หรือมีความคิดเรื่องนั้นเกิดขึ้นมา แล้วทาให้จิตใจ เบิกบาน ผ่องใส มีความสุข นี่คือผลที่เกิดขึ้น เขาเรียกว่า “สภาพจิต” คิดเรื่องไม่ดีแล้วทาให้จิตใจฟุ้งซ่าน ราคาญ หรือคิดถึงเรื่องที่ดี ๆ แล้วมีความสุขเกิดขึ้นมา นี่คือการดูจิต เห็นว่าจิตที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร แต่ ในขณะที่เจริญกรรมฐาน นอกจากรู้ว่าคิดดีหรือคิดไม่ดีแล้ว สิ่งที่ต้องทาคือพิจารณาถึงกฎของไตรลักษณ์ ความคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ มคี วามเปลยี่ นแปลงมกี ารเกดิ ดบั อยา่ งไร มเี จตนาทจี่ ะรถู้ งึ การเกดิ ดบั ของความคดิ นนั้ ๆ นี่คือการดูจิตในจิต
อาการของลมหายใจเข้าออก อาการของพองยุบ อาการของเวทนา แม้แต่ความคิดหรือสภาพจิตที่ เกดิ ขนึ้ มาเหลา่ นนั้ กค็ อื สภาวธรรม คอื ธรรมะทเี่ ปน็ ไปตามธรรมชาตทิ เี่ กดิ ขนึ้ จรงิ ๆ ในชวี ติ ของเรา ไมว่ า่ จะ อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม เขาก็ทาหน้าที่ของเขาอย่างนั้นอยู่เสมอ โดยอาศัยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ทางตา-ห-ู จมกู -ลนิ้ -กาย-ใจนนั่ เอง นนั่ คอื สภาวธรรมทกี่ า ลงั ปรากฏเกดิ ขนึ้ จรงิ ๆ ในชวี ติ ของเรา แมใ้ นขณะ ที่เรากาลังเจริญกรรมฐานอยู่ตรงนี้ และสภาวธรรมที่เกิดขึ้น นอกจากความคิด นอกจากเวทนา นอกจาก ลมหายใจ นอกจากอาการพองยุบ ก็อาจจะมีภาพ มีสี มีแสง มีนิมิตต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมา ซึ่งจัดเป็น สภาวธรรมที่เกิดกับใจของเรา โดยอาศัยอานาจของสติและสมาธิในขณะนั้น ๆ
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ อาการเกิดดับของรูปนามที่เป็นปรมัตถ์ที่ปรากฏเกิดขึ้นมาเฉพาะหน้า มีการ เกดิ ขนึ้ -ตงั้ อย-ู่ ดบั ไปอยเู่ นอื ง ๆ นนั่ แหละสภาวธรรมทพี่ น้ จากการปรงุ แตง่ ไมต่ อ้ งคดิ ไมต่ อ้ งสรา้ งกป็ รากฏ ขึ้นมาให้ได้ตามรู้ สภาวธรรมเหล่านี้แหละสาคัญ พ้นจากปรุงแต่ง...ก็พ้นจากกิเลส มีแต่สภาวธรรมล้วน ๆ ที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เราอาศัยการกาหนดรู้การเกิดดับตรงนี้นี่แหละเป็นการเจริญกรรมฐานเดินหน้า ต่อไป และที่สาคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้แต่ตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้เอง—จิตที่ทาหน้าที่รู้อารมณ์ต่าง ๆ ตามรู้ลม หายใจ ตามรู้ความคิด—เมื่อเห็นอาการเกิดดับเหล่านั้นหมดไป จิตที่ทาหน้าที่รู้มีการเกิดดับไปกับอารมณ์ นั้นด้วยหรือเปล่า
นคี่ืองานที่ผปู้ฏบิตัธิรรมพึงพจิารณาใสใ่จกาหนดรดู้ใูหช้ดัถึงการเกิดขึ้น-ตงั้อย-ู่ดับไปของอารมณ์ ทงั้ สอี่ ยา่ งคอื กาย เวทนา จติ และธรรม เพราะฉะนนั้ เราจะเหน็ วา่ สภาวธรรมไมใ่ ชอ่ ะไรอนื่ ไกลทอี่ ยนู่ อกตวั เราเลย ก็คืออาการของรูปนามขันธ์ห้า อาการของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั่นเอง เพราะฉะนั้น สภาวธรรมจริง ๆ จึงอยู่ใกล้แค่เอื้อม อยู่ที่ไหน ? อยู่ที่ตัวเราเท่านั้นเอง! เพราะฉะนั้น เวลาปฏิบัติธรรมให้ กลับมาพิจารณาดูอารมณ์ภายใน ดูกายดูจิตตนเองว่าขณะนี้เป็นอย่างไร มีการเกิดดับมีความเปลี่ยนแปลง อย่างไร ก็คือรู้ธรรมชาติของรูปนาม
ทีนี้ การที่เราจะกาหนดรู้ถึงธรรมชาติของรูปนามอย่างชัดเจนว่าเป็นไปในลักษณะอย่างไร อีกจุด หนงึ่ ทเี่ ปน็ เรอื่ งสา คญั กค็ อื วา่ เราควรพจิ ารณาให้เหน็ ชดั ระหวา่ งกายกบั จติ เขาเปน็ สว่ นเดยี วกนั หรอื คนละ ส่วนกัน อย่างเช่น ถ้าเรากาหนดรู้ด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา คือรู้ด้วยจิตที่ว่าง ว่างจากตัวตน ว่าง จากความเป็นเรา สภาวธรรมที่กาลังปรากฏก็จะมีความชัดเจน ความอยากจะให้เป็นไปต่าง ๆ นานาลดลง