Page 18 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 18
14
หรือเป็นความจริงโดยสมมติกันขึ้นมา เราสมมติว่ารูปนามนี้เป็นเรา เป็น เขา เป็นคน... เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ตลอดเวลา ไม่ได้บอกว่า รูปนามอันนี้เป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ได้ตรัสรู้ถึงเรื่องนี้ จึงให้พิจารณาทาความเห็นให้ถูกต้อง เราพิจารณา ดูว่า เมื่อแยกรูปนาม แยกกายแยกจิต... แยกรูปนามอย่างไร ? เราทาจิต ของเราให้ว่าง ให้กว้าง แยกจิต พิจารณาดูว่า จิตที่ทาหน้าที่รู้กับกายนี่ เขาเป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน ?
เมื่อเราแยกรูปนามได้ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา พิจารณาเห็นแล้ว ว่ากายกับจิตนั้นแยกส่วนกัน กายส่วนกาย จิตส่วนจิต ตรงไหนที่บอกว่า แยกส่วนกันได้ชัดเจน ? การที่เราสามารถวางตาแหน่งของจิตเรา หรือส่ง จิตไปตรงนั้นตรงนี้ เห็นว่าจิตเปลี่ยนที่ย้ายไปตรงนั้นตรงนี้ได้ เราสามารถ กาหนดจิตของเราไปไว้ตาแหน่งต่าง ๆ ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือว่า การ ที่เรายกจิตขึ้นสู่ความว่าง ทาจิตให้ว่างให้กว้างกว่าตัว แล้วรู้สึกเบา รู้สึก โล่ง รู้สึกโปร่ง เป็นการละอัตตา
เมื่อความเป็นตัวตนหายไปก็จะเห็นชัดเจนว่า จิตที่ว่าง จิตที่โล่ง จิตที่โปร่ง หรือจิตที่เบา กับรูปที่นั่งอยู่ เป็นคนละส่วนกัน และเห็นชัดเจน เห็นเป็นคนละส่วนกันอย่างสิ้นเชิงเลยว่า จิตไม่สามารถเป็นกายได้ กาย เองก็ไม่สามารถเป็นจิตได้ เพราะเขาเป็นคนละส่วนกัน หรือไม่สามารถ บังคับให้จิตกับกายรวมกันมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เราจะเห็นแต่ว่าจิตกับ กายอาศัยกัน ดาเนินเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง เมื่อมีสติมีปัญญา เห็นว่ารูปนามเป็นคนละส่วนอย่างนี้แล้ว ลองสังเกตดูว่า สภาพจิตใจเป็น อย่างไร ? จิตรู้สึกว่าง รู้สึกเบา รู้สึกสงบ หรือว่าเป็นอย่างไร ? อันนี้อย่าง หนึ่ง