Page 220 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 220
216
นั้นหลุดจากการถูกครอบงาด้วยอวิชชา ? พอเห็นชัดว่าเวทนาดับไป ได้รู้ ได้เห็นความจริง นั่นคืออวิชชาถูกตัดไป โมหะดับไป จิตจึงมีความผ่องใส ขึ้นมาโดยปริยาย ทีนี้ แม้แต่ปีติหรือสุขเวทนาที่เกิดขึ้นก็เป็นของไม่เที่ยง แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องปฏิเสธหรือบังคับให้หายไป การกาหนดรู้ก็ไม่ต่าง อะไรกับกาหนดรู้ทุกขเวทนาทางจิต แต่ในขณะเดียวกันเวทนาตรงนี้เกิด จากจิตที่ประกอบด้วยปัญญา จิตท่ีเป็นกุศล
การพจิ ารณาความไมเ่ ทยี่ งของสขุ เวทนาทเี่ กดิ จากจติ ผอ่ งใส เขา้ ไป กาหนดรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าความสุขต้องดับ ตรงนี้เราจะเห็นเองโดยปริยาย ถึงจะบังคับให้ดับก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น จิตมีความผ่องใสเกิดขึ้น เกิดจากปัญญารู้ชัดว่าเวทนาที่ปรากฏขึ้นมาไม่มี ตัวตน ไม่ได้บอกว่าเป็นเรา แล้วดับไปหายไป... จิตมีความผ่องใสขึ้นมา และยิ่งดูถึงความสุขจิตยิ่งมีความต้ังมั่นยิ่งผ่องใสมากขึ้น เพราะอะไร ? มีความมั่นใจ ไม่สงสัยในธรรม มีความชัดเจนในสภาวธรรม มั่นใจใน คาสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในความหมายที่ว่าแม้แต่ เวทนาเองก็เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ทกุ ขค์ อื การเกดิ ขนึ้ แลว้ กด็ บั ไป อนตั ตาคอื บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ ยอ่ ม เปลี่ยนแปลงแบบนั้น แม้แต่สุขเวทนาเองจะให้อยู่เท่าเดิม ก็ไม่สามารถ ให้อยู่เหมือนเดิมได้ แต่ยิ่งกาหนดรู้ไป...จิตที่สุขจิตที่ผ่องใสยิ่งมีกาลังยิ่ง มีความชัดเจนมีความตั้งมั่นขึ้น นั่นก็คือความไม่เที่ยงอย่างหนึ่ง นั่นคือ การพัฒนาด้วยปัญญา ตรงนี้แหละเป็นสิ่งสาคัญว่าการที่เรากาหนดรู้ถึง อาการเกดิ ดบั ของรปู นามของขนั ธท์ งั้ หา้ ทา ไมจติ ถงึ ผอ่ งใสถงึ สะอาดขนึ้ ได้ เพราะประกอบด้วยปัญญา เห็นถึงสัจธรรมความเป็นจริง การเกิดขึ้น-ตั้ง อยู่-ดับไปอยู่เนือง ๆ แบบนี้ ทาให้เรายิ่งเห็นชัดในธรรมะคาสอนของ