Page 32 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การน้อมพลังบุญเพื่อการอธิฐานจิต
P. 32

838
เขาจะรู้สึกทันที รู้สึกได้เลย อันนี้อย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งก็คือ สภาพจิต แล้วมีอะไร...มีต้นจิต อันนี้นะ...ต้นจิต มีโยมคนหนึ่งเขาถามอาจารย์ ว่า...ต้นจิต อาจารย์...ต้นจิตเป็นอย่างไร เหมือนต้น...มันค่อย ๆ งอกขึ้นเหมือนต้นมะม่วงไหม โยมเพาะ มะม่วงเอาไว้นี่นะ รู้สึกมันค่อย ๆ งอกขึ้นมา อ๋อ!นึกออกแล้ว ต้นจิตเป็นอย่างนี้เอง ต้นจิตไม่ใช่ต้นมะม่วง คือ เอ่อ!ดีแล้ว เราค่อย ๆ งอกออกนิดหนึ่งนะ ขณะแรก...กาลังแตกออกมา จริง ๆ คือต้นจิตตรงนี้นะ คือ จิตขณะแรกที่สั่ง ที่ทางานขณะแรก ที่รู้สึกแล้วสั่งให้กายเคลื่อนไหว
ลองดูนะว่า จิตนิ่ง ๆ เวลาจะกะพริบตา เวลาเรากะพริบตานี่นะ พอจะกะพริบรู้สึกก่อนไหม นิด หนึ่ง...ก่อนที่จะกะพริบ จิตสั่งก่อนไหมนะ แต่ถ้าไม่สั่งให้กะพริบ ลองดูว่าเป็นอย่างไร เขาจะกะพริบไหม ถ้าจิตไม่สั่งให้กะพริบ...ไม่กะพริบนะ ตอนที่ทนไม่ได้ จิตก็ต้องสั่ง สังเกตไหม พอนาน ๆ ลืมตาอยู่นาน ๆ ตาเริ่มแห้งแล้ว...ปริบ จิตก็สั่งกระพริบได้แล้ว เดี๋ยวตาแห้ง คือมันเป็นอะไร ที่ตรงนี้เป็นอะไร นี่คือวิถีรูป วิถีนาม วิถีจิต จิตที่ทาหน้าที่โดยตัวเขาเอง ธรรมชาติของจิต
เพราะฉะนั้น การสังเกตต้นจิตนี่นะ ถามว่าทาไม เพื่ออะไร ที่จริงการสังเกตต้นจิตตรงนี้นะ สาคัญ มาก ๆ การสงั เกตตน้ จติ หนงึ่ เพมิ่ สตใิ หไ้ วขนึ้ สอง การรเู้ ทา่ ทนั ตวั เอง รถู้ งึ เจตนาของการกระทา ของตวั เอง แม้ระยะเวลาสั้น ๆ แม้ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการกะพริบตานี่นะ หรือจะขยับมือ จะเคลื่อนไหว จะพูด จะทาอะไรก็ตาม ถ้าเราเกาะทันต้นจิตแบบนี้นะ ถ้าเห็นต้นจิตอย่างต่อเนื่องชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ นี่นะ จะรู้เลย ว่า การกระทาแต่ละอย่างของเรา ประกอบด้วยเจตนาเสมอ
เราเห็นเจตนาของการกระทาตัวเอง เจตนาแบบไหน พอสติเราอ่อน เราจะรู้สึกทาไปโดยไม่เจตนา แต่ปัญหาเกิดแล้ว เห็นไหม เพราะสติเราอ่อน ไม่ทันถึงการกระทา...เจตนาตรงนั้นนะ เพราะฉะนั้นนี่คือ การทที่ นั เจตนา การกา หนดตน้ จติ นนี่ ะ จะทา ใหเ้ รานนี่ ะ มคี วามมนั่ ใจในตวั เอง เขาเรยี กวา่ มคี วามอาจหาญ ในธรรม ทาอะไรเหมือนมีเหตุชัดเจน มีเหตุผลรู้เท่าทันตัวเองชัดเจนขึ้น จะมีความชัดเจน บางคนนี่นะ จะรู้สึกว่า มีความมั่นใจมากขึ้นเยอะเลย...พอทันตนเอง ทันต้นจิต ทันจากความคิด ทันความคิด รู้ก่อนที่ จะทา มันเหมือนทาอะไรแล้วเหมือนเราไวขึ้น การตรึกตรองก็ได้ดีขึ้น อันนี้ต้อง...ควรที่จะใช้
โดยปกตแิ ลว้ นนี่ ะ วปิ สั สนานนี่ ะ พอปฏบิ ตั ธิ รรมใหม่ ๆ พอเรมิ่ แยกรปู แยกนามได้ พอจะยก จะยา่ ง จะเหยียบนี่นะ ท่านก็ได้ให้กาหนดต้นจิตแล้ว แต่ท่านก็เลยใช้คาว่า อยาก อยากยก อยากย่าง อยากหนอ นนั่ แหละ กเ็ ปน็ อยากหนอ อยากหนั หนอ อยากยกหนอ อยากพดู หนอ พออยากพบึ่ ! ความอยากกไ็ มอ่ ยาก แล้ว พอพูดว่าอยากพูดหนอ มีสติถามว่า เอ่อ!ไม่พูดดีกว่าหนอ...จบ อ่ะ!เขาเรียกมีสติรู้ทัน ว่ากว่าที่ใช้... อยากหนอ อฮู้ !ู นานแลว้ ถา้ เปน็ นานขนาดนนั้ หยดุ พดู ดกี วา่ แนะ่ !ตรงนคี้ อื เพราะอะไร ทา่ นเรมิ่ ใหเ้ รากาหนด ต้นจิต อันไหนรู้ต้นจิต เพื่อที่ให้เป็นการปรับอินทรีย์ ปรับสติให้ไวขึ้น นี่แหละเขาว่า...ต้นจิต
แต่ทีนี้ พอสติไวขึ้นนี่นะ พอสภาวธรรมละเอียดขึ้น อยากไม่ทันแล้วนะ คาว่าอยากนี่นะ ไม่ทันแล้ว หยาบแล้วคาว่าอยากกลายเป็นหยาบเพราะจะไม่ทนัสติต้องรู้สึกๆทันทีรู้สึกทันทีเร็วขึ้นๆตรงนี้


































































































   30   31   32   33   34