Page 14 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาสภาวธรรม
P. 14
322
ทนีี้โยคบีางคนเกดิความสงสยัวา่เรารเู้กดิดบัแคน่เี้หรอทาไมมนัมแีคเ่กดิแลว้ดบัมแีลว้ดบัมแีลว้ ดับ...อยู่เรื่อย ๆ จะมีอะไรมากกว่านี้ไหม ? ถ้าถามว่ามีมากกว่านี้ไหม นึกไม่ออกนะ แต่ถ้าถามว่า อาการ เกิดดับมีความแตกต่างจากนี้อีกไหม ? มีอะไรที่วิเศษกว่านี้อีกไหม ? มี! ถ้ารู้อาการเกิดดับต่อไปเรื่อย ๆ สภาวธรรมจะดขี นึ้ กวา่ นไี้ หม ? ดขี นึ้ ! จติ เราจะดมี ากขนึ้ ไหม ? สตจิ ะดมี ากขนึ้ กวา่ นไี้ หม ? จติ เราจะผอ่ งใส มากขึ้นกว่าเดิมไหม ? มากขึ้น! ด้วยการอาศัยการกาหนดรู้อาการเกิดดับนี่แหละ ที่ย้าเสมอก็คือว่า สังเกต สังเกต แล้วก็สังเกตว่าการรู้อาการเกิดดับของแต่ละอารมณ์แต่ละครั้ง ทาให้จิตเราเป็นอย่างไร
เราตามรู้อาการเกิดดับอะไรที่ส่งผลต่อจิตใจเราที่เรารู้สึกเห็นชัดที่สุด ? ตามรู้อารมณ์ อะไรบ้าง ที่เป็นอารมณ์ ? ทุกอย่าง หงุดหงิดเป็นอารมณ์ไม่ดี อึดอัดก็เป็นอารมณ์ไม่ดี ขัดเคืองก็เป็นอารมณ์ไม่ดี ถ้ามีความสุขก็อารมณ์ดี ก็เป็นอารมณ์เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามีความสุขแล้วไม่เป็นอารมณ์ แต่คาว่า “อารมณ”์ ของการเจรญิ สตขิ องการปฏบิ ตั ธิ รรมคอื สงิ่ ทจี่ ติ เรารบั รู้ เพราะฉะนนั้ รปู -เสยี ง-กลนิ่ -รส-สมั ผสั - ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ อารมณ์ทั้งหกเป็นอารมณ์ที่จิตต้องไปรับรู้ เรามักรู้สึกว่าถ้ามีอารมณ์เกิดขึ้น เมื่อไหร่แสดงว่าไม่ค่อยดีแล้ว แต่ถ้าไม่มีอารมณ์เลยก็น่าห่วงนะ จืดชืด ไม่มีรู้สึกรู้สาเลย...
จรงิ ๆ กค็ อื มอี เุ บกขาหรอื วางเฉยกบั อารมณท์ เี่ กดิ ขนึ้ การวางเฉยกบั อารมณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ตรงนี้ นนั่ คอื จิตที่สงบ จิตที่เฉย ๆ ก็เป็นอารมณ์หนึ่งที่ตัวจิตต้องไปรับรู้ถึงความเฉยนั้นอีกทีหนึ่ง ตรงนี้แหละจึง เรียกว่าดูจิตในจิต จิตก็เป็นอารมณ์ของจิตได้เช่นกัน เหมือนกับความหงุดหงิดเป็นอะไร ? เป็นอารมณ์ที่ เกิดกับจิตของเรา แต่เป็นอารมณ์ที่เราต้องมีสติเข้าไปรู้ว่าอารมณ์นั้นมีการเกิดดับอย่างไร ความหมายของ คาว่า “อารมณ์” คือสิ่งที่จิตรับรู้ (ต่าง)กับ ความหมายว่า “อารมณ์ไม่ดี” ชีวิตเราเดี๋ยวก็หงุดหงิด เดี๋ยวเป็น คนอารมณ์ไม่ค่อยดี อารมณ์ไม่ค่อยสนุก ไม่ค่อยมีความสุข...
ทีนี้ อารมณ์เหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติของเรา แต่อยากให้สังเกตแบบนี้นิดหนึ่งนะ อารมณ์ที่เกิดขึ้น/ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาให้เราเห็นที่รู้สึกว่าเป็นกิเลสหรือไม่เป็นกิเลส เช่น พอได้ยินเสียงปุ๊บรู้สึกว่ากิเลสเกิดขึ้น แล้ว หรือเวลาเรานั่งกรรมฐานนั่งสมาธิปุ๊บ พอมีความคิดแว็บเข้ามา เราก็จะรู้สึกกิเลสมาแล้ว... มีไหม ? ไม่มี โอ! ดีจังเลย อยู่กับคนไม่ค่อยมีกิเลสนี่สบายอย่างนี้นะ อยู่กับคนไม่ค่อยมีกิเลสไม่ต้องคิดมาก ถ้าอยู่กับคนมีกิเลสต้องระวังตัวตลอดเลย เคยสังเกตไหม พออยู่กับคนที่มีกิเลส เราก็ เดี๋ยวเมื่อไหร่กิเลส เขาจะแว็บมาหาเรา แล้วจะกระตุ้นกิเลสของเราให้เจริญงอกงามขึ้นด้วย
ทา ไมเราถงึ แยกรปู แยกนาม แยกกายแยกจติ ? เมอื่ ทา จติ ใหก้ วา้ ง ๆ วา่ ง ๆ เบา ๆ โลง่ ๆ ใหส้ งั เกตวา่ จิตที่โล่งเบาเขามีกิเลสไหม ? หาดูสิ อย่าตอบเพราะคิดว่าคงจะมีเศษกิเลสอยู่บ้างแหละเพราะเรายังไม่เป็น พระอรหันต์ อันนั้นไม่ได้นะ นั่นคือการคาดเดา ไม่ได้รู้ความเป็นจริงในปัจจุบัน ไม่งั้นเราจะไม่เห็นถึงความ เป็นอิสระแม้ชั่วขณะหนึ่ง ๆ เขาเรียก ตทังควิมุตติ การหลุดพ้นจากวงจรปฏิจจสมุปบาทแม้ชั่วขณะหนึ่ง ๆ แต่พอเราเห็นจิตเราแยกจากกายปึ๊บ ลองดูว่า จิตตรงนั้นรู้สึกเป็นอย่างไร ? จิตที่เบาจิตที่ว่างเขามีกิเลส ตัวไหนบ้าง ? หาสิ เข้าไปสารวจจิตตัวเอง อย่าคิดว่าน่าจะมี ถ้าไม่แน่ใจให้ดูให้ชัด เพราะเป็นจิตของเราเอง ไม่ใช่ของคนอื่น ไม่มีการละลาบละล้วงใคร เรารู้จิตของเราเอง ดูเข้าไป สารวจให้ชัดไปเลยว่ามันมีหรือไม่มี