Page 17 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาสภาวธรรม
P. 17

325
เราปฏบิ ตั ธิ รรมเพอื่ ทจี่ ะละ แตก่ ารปฏบิ ตั ธิ รรมเพอื่ ทจี่ ะละอารมณเ์ หลา่ นี้ ถา้ เราไมม่ เี จตนาแนว่ แน่ หรือไม่ตั้งมั่นในเจตนาของเรา เดี๋ยวเขาก็มาเยี่ยมเราเป็นพัก ๆ เหมือนกัน เวลาเราพักการเจริญสติ เดี๋ยว เขาก็แวะมาเยี่ยมเรา เมื่อไหร่ที่เราเจริญสติ เขาก็ไป มีเจ้าของที่ดีเฝ้าอยู่แล้ว แต่พอเราเผลอ เขาก็แสดงตัว เป็นเจ้าของเป็นระยะ ๆ เราก็มีความทุกข์เป็นระยะ ๆ เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น การที่เรามีเจตนาที่หมั่น สารวจดูจิตตัวเองเป็นระยะเป็นขณะ ตอนนี้จิตเป็นอย่างไร... ตอนนี้จิตสงบ จิตว่าง จิตเบา จิตวุ่นวาย จิต ขุ่นมัว จิตเศร้าหมอง... เวลามีอะไรเกิดขึ้นมา ถ้ารู้สึกว่าไม่ดีก็ดับเสีย การสังเกตแยกส่วนแบบนี้ ขนาดจิต กับจิตเราแยกกันได้ แล้ว ความคิดที่เกิดขึ้น กับ จิตที่ทาหน้าที่รู้ ล่ะ เขาเป็นส่วนเดียวกันไหม ?
อย่ามีเงื่อนไขนะ คิดเรื่องนี้ฉันแยกได้ว่าฉันกับความคิดเป็นคนละส่วนกัน แต่ถ้าคิดเรื่องนั้นแยก ไม่ได้เลย! คือเรามักมีเงื่อนไขว่าเรื่องนี้จิตเราแยกกับเขาไม่ได้ ทาไมถึงแยกไม่ได้ ? ชอบนี่แยกไม่ยาก ไอ้ที่ ไม่ชอบนี่แยกยาก เห็นเมื่อไหร่ก็ไม่ชอบ เห็นเมื่อไหร่ก็ไม่ชอบ... ถ้าชอบนี่ เออ! ไม่เป็นไร เราคนละส่วนกัน มีความสขุ ไปเหอะนะ จงเปน็ สขุ เปน็ สขุ เถดิ ... แตถ่ า้ พอไมช่ อบปบ๊ึ เขา้ ไปเกาะเกยี่ วทนั ทเี ลย แลว้ กแ็ ยกยาก แล้วทีนี้ เมื่อไหร่ความไม่ชอบนี้จะไปจากใจของเราสักทีหนึ่ง! แล้วก็ติดอยู่นาน ติดกลับไปบ้านด้วย แยก ไม่ได้ ร่างกายแยกจากกันแต่ใจฉันไม่ยอมแยก ร่างกายแยกจากกัน แต่ใจมันยังรู้สึกแบกกลับบ้านไปด้วย เพราะเราไม่แยกระหว่างจิตเรากับความไม่ชอบ
ถ้าเราสังเกตเราจะเห็นได้ว่าความไม่ชอบที่เกิดขึ้นก็ยังมีจิต/ตัวสติที่ทาหน้าที่รู้ว่าฉันไม่ชอบ ไอ้ตัว “ฉัน” นี่คือตัวไหน ? ตัวไม่ชอบบอกว่าเป็นฉัน หรือตัวรู้ที่ทาหน้าที่รู้บอกว่าเป็นฉัน ? ตัวรู้ ตัวรู้เป็นฉัน... แล้วตัวไม่ชอบจะเป็นใคร ? เป็นกิเลส แล้วทาไมถึงเอาเป็นของเราซะนี่! นี่คือปัญญาอย่างหนึ่ง นี่คือการ พจิ ารณาธรรม ทบี่ อกวา่ เราจะพจิ ารณาธรรมใหเ้ กดิ ปญั ญาอยา่ งไร นแี่ หละคอื ความจรงิ ทเี่ กดิ ขนึ้ พจิ ารณา ในลักษณะอย่างนี้ ทาไมวิปัสสนาเขาถึงให้แยกรูป-แยกนาม แยกรูปกับรูป แล้วก็แยกนามกับนาม ? เคย ไดย้ นิ ไหม วปิ สั สนากรรมฐาน เราดกู ายในกาย รเู้ วทนาในเวทนา รจู้ ติ ในจติ รธู้ รรมในธรรม เพอื่ การพจิ ารณา ความจริงที่เกิดขึ้น... แล้วการแยกตรงนี้เราแยกอะไร ?
ที่บอกเมื่อกี้ว่าคือการแยกเรื่องของขันธ์ห้า รูปนามนี้เป็นขันธ์ห้า รูปนามนั้นก็ขันธ์ห้า รูปนามโน้นก็ อีกห้าขันธ์ ห้าขันธ์ ห้าขันธ์... แล้วเราแบกอยู่กี่ขันธ์ ? ไม่รู้เลย แค่ห้าขันธ์นี่ก็จะแย่แล้วนะ! แต่สังเกตไหม ว่า ขันธ์ทั้งห้าเวลาปรากฏชัดขึ้นมา เขาปรากฏชัดพร้อมกันทุกขันธ์ หรือทีละสองขันธ์ ? ทีละสองขันธ์ ทาไม เรายึดทีเดียวตั้งห้าขันธ์ล่ะ ? เวลาเรายึด ทาไมถึงบอกว่ายึดทีละสองขันธ์ ? เราไปยึดจิตที่ทาหน้าที่อย่าง หนึ่ง กับไปยึดอารมณ์ที่กาลังรับรู้อีกอย่างหนึ่ง เวลาเราไปยึดความคิดว่าเป็นของเรา เราลืมตัวเลยนะ ใช่ไหม ? ลืมไปเลยว่าตัวเป็นยังไงถึงแม้ตัวจะหนักก็ตามเถอะ ยึดความคิดแต่เป็นผลทาให้ร่างกายรู้สึก หนักอึ้ง ยิ่งคิดมาก ปล่อยความคิดไม่ได้ ก็ยิ่งหนักอึ้ง หนักอึ้งขึ้นมา
เพราะฉะนนั้ การพจิ ารณาธรรมแบบนี้ การกา หนดรถู้ งึ ความเปน็ คนละสว่ นของสภาวธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ นนั่ คอื กา หนดรถู้ งึ ธรรมชาตจิ รงิ ๆ ทเี่ ขาเกดิ ขนึ้ แตไ่ มใ่ ชไ่ ปบงั คบั ใหเ้ ขาเปน็ คนละสว่ น ไมใ่ ชไ่ ปบงั คบั วา่ เธอ ต้องอยู่นู่นนะ ฉันจะอยู่นี่ อย่าเข้ามายุ่งนะ! ถ้าทาได้อย่างนั้น...ดี ถ้าทาไม่ได้ แต่เห็นว่าเป็นคนละส่วนกัน


































































































   15   16   17   18   19