Page 42 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การเล่าสภาวะ
P. 42
794
ทีนี้เวลาเล่าสภาวะ ที่อาจารย์ถามนี่นะ คือถ้าเป็นอย่างนี้เราแยกชัด ถามว่าสภาพจิตขณะนี้รู้สึก อย่างไร สภาพจิตขณะนี้เป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร เริ่มจากตรงไหนก่อน บางครั้งพอพูดถึงสภาพจิต เรามารู้ ตรงนี้ บริเวณหทยวัตถุก่อน รู้ถึงความว่าง ถ้าถามว่าบรรยากาศของความรู้สึกตอนนี้เป็นอย่างไร คาถาม แบบนี้ บรรยากาศของความรู้สึกหรือบรรยากาศของสภาพจิต ส่วนใหญ่จะใช้บรรยากาศของความรู้สึก ตรงนี้เป็นอย่างไร พอพูดถึงบรรยากาศต้องรู้กว้าง ถ้าพูดถึงความรู้สึกขณะนี้รู้สึกอย่างไร จะเห็นชัดที่สุด คือรู้ที่หทยวัตถุ ถ้าเราบอกว่าตอนนี้รู้สึกสงบ สงบปุ๊บความรู้สึกที่สงบมีขอบเขตไหม ก็จะกลายเป็น บรรยากาศ เขาจะกว้างออกโดยอัตโนมัติ แต่ถ้ารู้สึกว่ายังมีขอบเขตอยู่เล็ก ๆ ลองทาความรู้สึกที่สงบให้ กว้างออกไป เพราะเป็นจิต...ความรู้สึก จึงทาให้กว้างได้ อันนี้จะรู้ชัด
(พูดกับโยคี)...ขอหายใจแป๊บหนึ่ง เมื่อกี้นี้เดินมากับโยมอู๊ด โอ้!เหนื่อยเหมือนกันนะ ไม่รู้เหนื่อย อะไร เดิน ๆ มาก็ถอนหายใจ เอ่อนะ! ถึงรู้ว่าเหนื่อย เห็นว่าตัวเองถอนหายใจถึงรู้ว่าเหนื่อย เอ๊ะ! เหนื่อย หรือเปล่า แต่ทาไมถอนหายใจ สงสัยเหนื่อย สงสัยว่าจะเหนื่อย ไม่ชัดเจนใช่ไหม อัศจรรย์มาก ๆ เลย เหนื่อยยังไม่รู้ตัวอีก...
เริ่มต้นเวลาเราปฏิบัติธรรม การที่จะเล่าสภาวะได้ดี หนึ่งที่สาคัญต้องรู้ว่ากาหนดอะไร ต้องรู้ว่า กาหนดอะไร อย่างเช่น เรายกจิตขึ้นสู่ความว่าง ยกจิตขึ้นสู่ความว่างทาจิตให้ว่างปุ๊บ กาหนดอะไร ว่างแล้ว กาหนดอะไร คาว่ากาหนดอะไรในที่นี้หมายถึงว่า ตามรู้อะไร เข้าไปกาหนดรู้อาการของอะไร อาการของ อะไร จริง ๆ ก็คืออาการเหล่านี้คืออารมณ์ทั้ง ๖ หรืออาการของอารมณ์หลัก ๔ อย่าง กาย เวทนา จิต ธรรม หรือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้คือสภาวธรรม ที่เกิดขึ้น
ทีนี้ลองสังเกตดูว่า การกาหนดดูที่รูป อย่างเช่น ขณะที่กาหนดกายกาหนดรูป พอเรายกจิตขึ้นสู่ ความว่าง สังเกตไหมพอเรายกจิตขึ้นสู่ความว่างปุ๊บ อาการอะไรปรากฏชัด อาการข้างหน้าปรากฏชัดขึ้นมา ต้องบอกได้ว่า พอหลับตาทาจิตให้ว่างข้างหน้ามีอาการแบบนี้ขึ้นมา อาการอย่างไร เหมือนมีอาการวุบวับ มีแสงมีสี...พูดแบบนี้เลย แต่เวลาเล่าสภาวะเราพูดแบบนี้ แต่ไม่ใช่พูดรวมแบบนี้ อ้าว!เอาอย่างไรอีกล่ะ คือหลับตาลงแล้วมีแสงนวล ๆ หรือว่าสลัว ๆ มีความสลัวเกิดขึ้น พอมีสติเข้าไปกาหนดรู้ที่ความสลัว ความสลัวเปลี่ยนไป
สมมุตินะ เวลาเรากาหนดยกจิตขึ้นสู่ความว่างแล้ว ข้างหน้ามีความสลัวปุ๊บ ขณะที่ข้างหน้ามีความ สลัวพอกาหนดรู้เข้าไป มีสติกาหนดรู้ที่ความสลัว ความสลัวนั้นค่อย ๆ จาง ค่อย ๆ จาง ค่อย ๆ จาง ๆ บาง ๆ แล้วก็สว่างโล่งไป เห็นไหม เล่าแบบนี้ได้ คือทาอย่างไรเล่าอย่างนั้น
ทีนี้เวลาส่วนใหญ่ก็คือ...เราเล่า หลับตาลงยกจิตขึ้นสู่ความว่างแล้ว ข้างหน้ามันสลัว ๆ ๆ ไม่ค่อย สว่างเลย ทาอย่างไร...กาหนด พอกาหนดครั้งหนึ่งก็จางนิดหนึ่ง กาหนดอีกครั้งหนึ่งก็นิดหนึ่ง คือ...คิดดู สิ ใช้เวลานานมากเลยนะ คือไม่จาเป็นต้องละเอียด คือถ้าเป็นแบบนั้น ถ้ามันนิดหนึ่ง ในแต่ละครั้งอาการ สลัวเขาค่อย ๆ ขยับนิดเดียวนิดหนึ่ง ๆ ๆ สักพักใช้เวลาสักระยะหนึ่ง กาหนดไปสักระยะสักพักเขาก็โล่งไป