Page 10 - e-book Health Knowledge Articles
P. 10
วัคซีนไข้หวัดใหญ่...เรื่องที่ควรรู้
วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนผลิตจากเชื้อที่ตายแล้วโดยผ่านกระบวนการผลิตที่มีความ
ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้ว
ยังอาจเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ แต่อาการจะน้อยลง วัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ป้องกันไข้หวัดทั่วไปที่เกิด
จากเชื้ออื่น ๆ วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะฉีดบริเวณต้นแขน เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัดใหญ่
มากขึ้น โดยใช้เวลา 2 สัปดาห์ก่อนจะออกฤทธิ์ วัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ 3-
4 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มจะแพร่ระบาดในช่วงนั้น ๆ ปกติแล้ววัคซีนไข้หวัดใหญ่
นั้นควรฉีดตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูแพร่ระบาดของโรค ซึ่งในประเทศไทย มักเป็นช่วงฤดูฝนและฤดู
หนาว เพื่อให้วัคซีนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพในช่วงที่มีการระบาด
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรทำเป็นประจำทุกปี เพราะเมื่อฉีดวัคซีนไปสักระยะ
ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีต่อโรคจะค่อย ๆ ลดลง ในแต่ละปีสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่
แพร่ระบาดอาจเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องฉีดวัคซีนทุกปีเพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น และ
ป้องกันได้ตรงกับ สายพันธุ์ที่กำลังระบาด วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนที่คนทั่วไปฉีดได้ แต่
ควรมีอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป และเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปี ที่รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นปี
แรก ควรได้รับ 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ รวมทั้ง บุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
ควรได้รับวัคซีน ปีละ 1 เข็มอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยป้องกันความรุนแรงและการแพร่กระจาย
ของโรคไข้หวัดใหญ่ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงควรได้รับการฉีดวัคซีน ได้แก่
1. บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย
2. หญิงมีครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
3. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
4. ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไต
วาย มะเร็งที่กำลังให้เคมีบำบัด เบาหวาน
5. บุคคลที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป
6. ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
7. โรคธาลัสซีเมีย ภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ
8. ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัมหรือ BMI ตั้งแต่ 35 kg/m 2
4