Page 148 - วิทยาศาสตร์ม.ปลาย
P. 148

148


                       2. รังสีแคโทดเป็นอนุภาคที่มีมวล เนื่องจากรังสีท าให้ใบพัดที่ขวางทางเดินของรังสีหมุนได้เหมือนถูกลม

                   พัด

                       3. รังสีแคโทดประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบ  เนื่องจากเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า



















                            หลอดรังสีแคโทด                              รังสีแคโทดบี่ยงเบนเข้าหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า


                          จากผลการทดลองนี้  ทอมสันอธิบายได้ว่า  อะตอมของโลหะที่ขั้วแคโทดเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้าที่

                   มีความต่างศักย์สูงจะปล่อยอิเล็กตรอนออกมาจากอะตอม  อิเล็กตรอนมีพลังงานสูง และเคลื่อนที่ภายใน

                   หลอด  ถ้าเคลื่อนที่ชนอะตอมของแก๊สจะท าให้อิเล็กตรอนในอะตอมของแก๊สหลุดออกจาก
                   อะตอม  อิเล็กตรอนจากขั้วแคโทดและจากแก๊สซึ่งเป็นประจุลบจะเคลื่อนที่ไปยังขั้วแอโนด  ขณะเคลื่อนที่

                   ถ้ากระทบฉากที่ฉาบสารเรืองแสง  เช่น  ZnS  ท าให้ฉากเกิดการเรืองแสง  ซึ่งทอมสันสรุปว่ารังสีแคโทด

                   ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบเรียกว่า “อิเล็กตรอน” และยังได้หาค่าอัตราส่วนประจุต่อมวล (e/m) ของ
                   อิเล็กตรอนโดยใช้สยามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าช่วยในการหา  ซึ่งได้ค่าประจุต่อมวลของอิเล็กตรอน

                   เท่ากับ  1.76 x 10 8 C/g  ค่าอัตราส่วน e/m นี้จะมีค่าคงที่ ไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะที่เป็นขั้ว

                   แคโทด  และไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของแก๊สที่บรรจุอยู่ในหลอดรังสีแคโทด  แสดงว่าในรังสีแคโทด

                   ประกอบด้วยอนุภาคไฟฟ้าที่มีประจุลบเหมือนกันหมดคือ อิเล็กตรอน นั่นเอง  ทอมสันจึงสรุปว่า

                          “อิเล็กตรอนเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของอะตอม  และอิเล็กตรอนของทุกอะตอมจะมีสมบัติ
                   เหมือนกัน”



                   การค้นพบโปรตอน
                          ในปี พ.ศ. 2409 (ค.ศ. 1866) ออยเกน  โกลด์ชไตน์  นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน  ได้ท าการทดลอง

                   โดยเจาะรูที่ขั้วแคโทดในหลอดรังสีแคโทด  พบว่าเมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดรังสีแคโทดจะมีอนุภาค
                   ชนิดหนึ่งเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของรังสีแคโทดผ่านรูของขั้ว


                   แคโทด  และท าให้ฉากด้านหลังขั้วแคโทดเรืองแสงได้  โกลด์ชไตน์ได้ตั้งชื่อว่า “รังสีแคแนล” (canal
                   ray)  หรือ “รังสีบวก” (positive ray)  สมบัติของรังสีบวกมีดังนี้

                          1. เดินทางเป็นเส้นตรงไปยังขั้วแคโทด
   143   144   145   146   147   148   149   150   151   152   153