Page 25 - tinnapop
P. 25
ระบุหน้าที่ของกษัตริย์ ในด้านกฎหมาย มีพระธรรมศาสตร์และต่อมามีการเขียนพระธรรมนูญ
2. สมัยประวัติศาสตร์ เริ่มเมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ โดยชนเผ่าอินโด-อารยัน ซึ่งตั้งถิ่น
ธรรมศาสตร์ขึ้น
ฐานบริเวณแม่น้ าคงคา แบ่งได้ 3 ยุค
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
2.1 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่ก าเนิดตัวอักษรพรามิ ลิปิ สิ้นสุดสมัยราชวงศ์ คุปตะ
ในลุ่มน้ าสินธุ กลุ่มชนที่อาศัยในระยะแรกคือพวกดราวิเดียนซึ่งมีโครงสร้างทางสังคมประกอบด้วย
เป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธศาสนา ได้ถือก าเนิดแล้ว
ผู้ปกครอง ได้แก่ ราชาและขุนนาง แต่เมื่อพวกอารยันเข้ามาปกครองท าให้มีการเปลี่ยนแปลงทาง
2.2 ประวัติศาสตร์สมัยกลาง เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์คุปตะสิ้นสุดลง จนถึง ราชวงศ์โมกุลเข้าปกครอง
สังคม กล่าวคือฝ่ายดราวิเดียนถูกลดฐานะลงเป็นทาส ความสัมพันธ์ของคนในสังคมระยะแรกมี
อินเดีย
การแต่งงานระหว่างชนสองเผ่าพันธุ์ แต่ต่อมาพวกอารยันเกรงว่าจะถูกกลืนทางเชื้อชาติ จึงห้ามการ
2.3 ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์โมกุลจนถึงการได้รับเอกราชจากอังกฤษ
แต่งงานระหว่างชนสองกลุ่ม ท าให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างเผ่าพันธุ์ จนกลายเป็นระบบชนชั้นที่แบ่ง
การปกครองและกฎหมาย
หน้าที่ชัดเจนโดยแบ่งออกเป็น 4 วรรณะใหญ่ๆ คือ วรรณะพราหมณ์ ผู้ประกอบพิธีกรรมและสืบ
บ้านเมืองในลุ่มน้ าสินธุมีร่องรอยของการปกครองแบบรวมอ านาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทั้งนี้เห็นได้จาก
สานต่อศาสนา วรรณะกษัตริย์ มีหน้าที่ปกป้องแว่นแคว้น วรรณะแพศย์ มีหน้าที่ผลิตอาหารและ
รูปแบบการสร้างเมืองฮารัปปาและเมืองโมเฮนโจ – ดาโร ที่มีการวางผังเมืองในลักษณะเดียวกัน
หารายได้ให้แก่บ้านเมือง และวรรณะศูทร คือคนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีหน้าที่รับใช้วรรณะทั้งสาม ส่วน
มีการตัดถนนเป็นระเบียบ การสร้างบ้านใช้อิฐขนาดเดียวกัน ตัวเมืองมักสร้างอยู่ในป้อมซึ่งต้องมี
ลูกที่เกิดจากการแต่งงานข้ามวรรณะถูกจัดให้อยู่นอกสังคม เรียกว่า พวกจัณฑาล นอกจากนี้ใน
ผู้น าที่มีอ านาจแบบรวมศูนย์ ผู้น ามีสถานภาพเป็นทั้งกษัตริย์และเป็นนักบวชจึงมีอ านาจทั้งทาง
หมู่ชาวอารยัน สตรีมีฐานะสูงในสังคมและใช้โคเป็นเครื่องวัดความมั่งคั่งของบุคคล
โลกและทางธรรม ต่อมาเมื่อพวกอารยันเข้ามาปกครองดินแดนลุ่มน้ าสินธุแทนพวกดราวิเดียน จึง
ด้านศาสนา อินเดียเป็นแหล่งก าเนิดศาสนาส าคัญของโลกตะวันออก ได้แก่
ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบกระจายอ านาจ โดยแต่ละเผ่ามีหัวหน้าที่เรียกว่า “ราชา”
1. ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีเทพเจ้าที่ส าคัญ เช่น พระศิวะ เป็นเทพผู้ท าลายความชั่วร้าย พระ
ปกครองกันเอง มีหน่วยการปกครองลดหลั่นลงไปตามล าดับ จากครอบครัวที่มีบิดาเป็นหัวหน้า
พรหม เป็นเทพเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งบนโลก พระวิษณุ เป็นเทพเจ้าแห่งสันติสุขและปราบปรามความ
ครอบครัว หลายครอบครัวรวมเป็นระดับหมู่บ้าน และหลายหมู่บ้านมีราชาเป็นหัวหน้า ต่อมาแต่ละ
ยุ่งยาก เป็นต้น
เผ่ามีการพุ่งรบกันเอง ท าให้ราชาได้ขึ้นมามีอ านาจสูงสุดในการปกครองด้วยวิธีต่างๆ เช่น พิธี
2. พระพุทธศาสนา มีหลักค าสอนที่ส าคัญ เช่น อริยสัจ 4 มีจุดหมายเพื่อมุ่งสู่นิพพาน
ราชาภิเษก ความเชื่อในเรื่องอวตารพิธีอัศวเมธ เป็นพิธีขยายอ านาจโดยส่งม้าวิ่งไปยังดินแดน
3. ศาสนาเชน มีศาสดา คือ มหาวีระ มีนิกายที่ส าคัญอยู่ 2 นิกาย คือ นิกายเศวตัมพร เป็น
ต่างๆ จากนั้นจึงส่งกองทัพติดตามไปรบเพื่อยึดครองดินแดนที่ม้าวิ่งผ่านไป การตั้งชื่อเพื่อสร้าง
นิกายนุ่งผ้าขาว ถือว่าสีขาวเป็นสีบริสุทธิ์ และนิกายทิฆัมพร เป็นนิกายนุ่งลมห่มฟ้า (เปลือยกาย)
ความยิ่งใหญ่ ค าสอนในคัมภีร์ศาสนาและต าราสนับสนุนความยิ่งใหญ่ของราชา และต่อมาก็มีคติ
ความเชื่อว่า ราชาทรงเป็นสมมติเทพ คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพอวตารลงมาเพื่อปกครอง 22
มวลมนุษย์ในด้านการปกครองมีการเขียนต าราเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ชื่อ อรรถศาสตร์