Page 65 - 2553-2561
P. 65
ค�าวินิจฉัยชี้ขาดอ�านาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๖๑/๒๕๕๕ ศาลจังหวัดระนอง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ประมวลกฎหมายที่ดิน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนว่า อ. กับพวก ได้เข้าไปใน
ที่ดินที่โจทก์ครอบครองและตัดต้นยางพาราของโจทก์เป็นจ�านวนมาก โดยอ้างว่าได้ท�าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน
แปลงดังกล่าวจากจ�าเลยที่ ๓ โจทก์จึงยื่นฟ้อง อ. ต่อศาลจังหวัดระนอง จนมีค�าพิพากษาให้ อ. ชดใช้ค่าเสียหาย
พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์ตรวจสอบพบว่า จ�าเลยที่ ๑ และที่ ๒ ออก น.ส. ๓ ก. จ�านวน ๔ ฉบับ ทับที่ดิน
ดังกล่าวและไม่ได้แจ้งเรื่องการชี้แนวเขตที่ดินและการประกาศหาผู้คัดค้านให้โจทก์ทราบ น.ส. ๓ ก. ทั้งสี่ฉบับ
ดังกล่าวมีชื่อจ�าเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นผู้มีชื่อทางทะเบียน คนละ ๒ ฉบับ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. ทั้งสี่ฉบับ
ดังกล่าว หากเพิกถอนไม่ได้ขอให้เปลี่ยนชื่อทางทะเบียนเป็นชื่อของโจทก์ และห้ามมิให้จ�าเลยที่ ๓ และที่ ๔
เข้ากระท�าการใด ๆ ในที่ดินพิพาทและไม่ให้มีสิทธิใด ๆ ใน น.ส. ๓ ก. ทั้งสี่ฉบับดังกล่าว ส่วนจ�าเลยที่ ๑ และ
ที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท น.ส. ๓ ก. ทั้งสี่ฉบับออกโดยถูกต้องตามระเบียบและ
กฎหมาย ไม่ทับที่ดินของโจทก์ จ�าเลยที่ ๓ ให้การว่า เป็นผู้รับจ�านองที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
และเป็นผู้ซื้อทรัพย์โดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามค�าสั่งศาล ย่อมได้รับความคุ้มครอง โจทก์ได้สิทธิ
ครอบครองที่ดินพิพาทโดยการครอบครองและยังมิได้จดทะเบียน จึงไม่อาจยกเป็นข้อกล่าวอ้างต่อจ�าเลยที่ ๓
ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ไม่มีอ�านาจ
ฟ้องจ�าเลยที่ ๓ ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่โจทก์กับจ�าเลยทั้งสี่ยังโต้แย้งกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาท ซึ่งการที่
ศาลจะพิพากษาตามที่โจทก์มีค�าขอได้นั้น ศาลจ�าต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์
ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอันอยู่ในอ�านาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
รวมย่อค�าวินิจฉัยชี้ขาดอ�านาจหน้าที่ระหว่างศาลที่น่าสนใจ
64 พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๑