Page 38 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 38

558
เพราะฉะนั้น เวลาเรานั่งกรรมฐาน เดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือกาหนดอิริยาบถย่อยต่าง ๆ จึงให้มี สติรู้อยู่ที่อาการพระไตรลักษณ์ รู้อยู่ที่อาการเกิดดับของรูปนามทุก ๆ ขณะ ในแต่ละขณะให้สนใจการเกิด ดับของรูปนามไปเรื่อย ๆ ๆ เพราะตรงนี้เป็นเหตุที่จะทาให้เราคลายอุปาทาน เป็นเหตุที่ทาให้ปัญญาเราเกิด ขึ้นมา เป็นเหตุที่จะทาให้เราคลายความสงสัย (วิจิกิจฉา) ความสงสัยในธรรมในคาสอนขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะได้เห็นสภาวธรรมที่เป็นจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ เพราะสิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นความจริง เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจริง ๆ ที่พระองค์ได้ทรงเห็นแล้ว แล้วเอา มาสอนเราเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
คิดดูว่า ถ้าเราเห็นสภาวธรรมเหมือนกันกับที่พระองค์ตรัสเอาไว้ ลองดูว่า เป็นอย่างไร ? ไม่ใช่แค่ คิดตามแต่เดินตามแล้วกเ็ห็นตามนั้น“เห็นตามนั้น”คืออะไร?อาการของรูปนามนี่แหละที่พระองค์ ทรงตรัสว่าเป็นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปตลอดเวลา ไม่มีของเรา เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเห็น ตามความเป็นจริงอย่างที่พระองค์ทรงตรัส ลองดูว่าสภาพจิตใจเป็นอย่างไร เพียงแต่ว่าเมื่อเห็นแล้วเรา จะเข้าใจได้ลึกซึ้งมากแค่ไหน อันนี้ก็ต้องพิจารณาดู เห็นแล้ว คิดให้ดี พิจารณาให้กว้าง แต่ถ้า(อยากให้) การเดินทางกระชับให้ลัดขึ้น เน้นที่อาการเกิดดับให้มากขึ้น
สองอย่างที่ควรรู้ หนึ่ง-รู้อาการเกิดดับเปลี่ยนแปลงอย่างไร สอง-ผลที่ตามมา สภาพจิตใจเป็น อย่างไร สองอย่างนะ รู้อาการเกิดดับของอารมณ์ต่าง ๆ รู้อาการเกิดดับของรูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร- วิญญาณ รู้อาการเกิดดับของรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส-ธรรมารมณ์ และรู้ผลที่ตามมา...ส่งผลต่อจิตใจ เป็นอย่างไร สองอย่างนี้ที่เราควรสังเกต ถ้าเราสังเกตสองอย่างนี้สลับกันอยู่อย่างต่อเนื่อง จะเป็นการดูรูป นามดูกายดูจิตของตนเอง การรู้กายรู้จิตของตนเองอยู่เนือง ๆ แบบนี้ สติเราก็จะดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น... เมื่อ สติดีขึ้น จิตก็จะดีขึ้น สมาธิดีขึ้น เราก็จะเป็นคนดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน เพราะนั่นคือสิ่งที่เราเป็น
เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเราจะไปปฏิบัติที่ไหนก็ตาม ถ้าเรารู้เป้าหมายของการปฏิบัติ ของเรา มันจะมีคาตอบ แล้วจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น จะมีความชัดเจนขึ้น ดีกว่าที่เราปฏิบัติแล้วไม่รู้ไปไหน ปฏิบัติไว้ก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งดีอย่างหนึ่ง เป็นการสั่งสมบารมี แต่ถ้าเรารู้เป้าหมายที่ชัดเจน เราก็จะรู้ว่า เราจะเดนิ ทางไปไหน ตอ้ งทมุ่ เทมากแคไ่ หน ใสใ่ จมากแคไ่ หน เพอื่ ใหก้ ารเดนิ ทางของเรากา้ วหนา้ ไปเรอื่ ย ๆ เดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องนั่นเอง เพราะชีวิตคนเรา ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏสงสารนี้ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีที่สิ้นสุด เกิดขึ้นตอนไหน ตายเมื่อไหร่ ตายแล้วเกิดใหม่ ไปเกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด... วนเวียนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด
การที่จะออกจากวัฏสงสารนี้ จะออกได้อย่างไร ? ก็ด้วยอาศัยการเห็นความจริงของรูปนาม เห็น อาการเกิดดับของสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างที่เราปฏิบัติมานั่นแหละ ดูอาการของลมหายใจ ดูความ คิด ดูเวทนา ดูสภาวธรรมที่ปรากฏขึ้นข้างหน้าเราเวลานั่งกรรมฐาน ทาแบบนี้บ่อย ๆ บ่อย ๆ ก็จะเป็นการ เดนิ ทางไปขา้ งหนา้ เรอื่ ย ๆ แตถ่ า้ เราไมม่ ชี ว่ งเวลาหรอื ไมม่ โี อกาสทจี่ ะไปรอู้ าการเกดิ ดบั ไดต้ อ่ เนอื่ งขนาดนนั้ ก็ให้ดูสภาพจิตทาจิตให้ว่างๆทาจิตให้กว้างบ่อยๆเติมความสขุให้ตัวเองเยอะๆแล้วอีกอย่างหนึ่งถ้า


































































































   36   37   38   39   40