Page 62 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 62

58
นนั้ ไมใ่ หโ้ ทสะโมหะเปน็ ตวั ผลกั ดนั ใหม้ กี ารกระทา ทางกายทางวาจาตอ่ ไป กลายเป็นว่ามีผัสสะเกิดขึ้นมา มีเวทนาเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่มีตัณหา อปุ าทานเกดิ ขนึ้ มแี ตส่ ตทิ า หนา้ ทรี่ แู้ ลว้ กจ็ บไปหมดไป การทเี่ ราใสใ่ จแบบ นี้นแี่หละเปน็สงิ่สาคญั ในชวีติของเราการทเี่ราไมห่วนั่ไหวไปกบัอารมณท์ี่ เกดิ ขนึ้ การทมี่ สี ตริ เู้ ทา่ ทนั อารมณข์ องตนเอง จะทา ใหเ้ ราสงบและหยดุ ตวั เองได้ง่าย เมื่อมีผัสสะ มีเวทนาเกิดขึ้นมา มีความอยาก ความกลัว อย่าง ใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะดับอารมณ์นั้นได้ง่าย
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ถา้ เรากา หนดรดู้ ว้ ยความรสู้ กึ ทไี่ มม่ ตี วั ตน ไมม่ ี เรา ไม่มีเขา ไม่มีใคร มีแต่สติ สมาธิ ปัญญา ที่ทาหน้าที่รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ก็จะทาให้อกุศลต่าง ๆ เกิดน้อยลง หรือไม่สามารถเกิดขึ้นได้ คาว่า “ธรรมะ” จริง ๆ คือ ตัวสติ สมาธิ ปัญญา ที่เราใช้ในชีวิตประจาวัน ของเราอยู่เนือง ๆ ทุกอิริยาบถนั่นแหละ ไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน ก็ใช้สติ-สมาธิ-ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้น เราควรมี “เจตนา” ที่จะใช้สติ สมาธิ ปัญญา ให้มากในการรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาใน ชีวิตของเรา ไม่ว่าจะปรากฏทางตา หู ลิ้น จมูก กาย หรือใจก็ตาม
เพราะอะไร ? การที่เรามีเจตนาที่จะใช้สติ สมาธิ ปัญญา ในการ รับรู้อารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น จะเป็นตัวยับยั้งไม่ให้เราไหลตามอารมณ์ง่าย เกินไป การที่มีเจตนาแบบนี้ จิตเราจะคอยบันทึก คอยจา และคอยเตือน เราอยู่เสมอว่า เมื่อมีอะไรปรากฏเกิดขึ้น ก็จะ “ตั้งสติ” ก่อนเสมอในการ รับรู้ ก่อนที่จะกระทาอะไรต่อไป ที่บอกว่า “สติ สมาธิ ปัญญา” นั้นพิสดาร กว้างขวางมากมาย ใช้ได้กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ทั้งเวลาดี-ไม่ ดี ทงั้ เวลาทกุ ข-์ ไมท่ กุ ข์ ทงั้ เวลามคี วามสขุ -ทงั้ เวลาทอี่ ยเู่ ฉย ๆ กต็ อ้ งใชส้ ติ เหล่านี้


































































































   60   61   62   63   64