Page 33 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 33

893
แต่พอมีสติรู้ชัดถึงความเป็นคนละส่วนระหว่างรูปกับนาม จิตเป็นอิสระมากขึ้น รูปไม่บอกว่าเป็น เรารู้สึกว่ารูปนั้นว่างไปเบาไปเราไดล้ะมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดว่าเป็นตัวเราของเรานั่นเองการที่เราได้เห็น ความจริงคือความเป็นคนละส่วนระหว่างรูปกับนาม เห็นความจริงคือไม่มีอะไรที่บอกว่าเป็นเรา เห็นความ จริงคือความเป็นอนัตตา จิตจึงเกิดการคลายเกิดการวาง เป็นการปล่อยวางโดยอัตโนมัติ ยิ่งดูเข้าไปในจิต ทวี่ า่ ง จติ ยงิ่ ไมม่ อี ปุ าทาน จติ ยงิ่ ไมม่ ตี วั ตน เขา้ ไปพจิ ารณาดวู า่ จติ ทวี่ า่ งจากตวั ตนมอี านภุ าพอยา่ งไร มกี า ลงั แค่ไหน ว่างแค่ไหน กว้างแค่ไหน ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ความไม่มีตัวตนคือความเป็นอนัตตา การเห็น ความไม่มีตัวตน คือการละสักกายทิฏฐิ ความเห็นว่ารูปนี้เป็นของเราและตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้นั้นเป็นเรา
ลองพิจารณาต่อไปอีก สัญญา คือการระลึก ความจาของเรา เรื่องราวในอดีตที่ผุดขึ้นมา สัญญา ที่ปรากฏขึ้นมากับจิตที่ทาหน้าที่รู้ เป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน ? สัญญาขันธ์อันนั้นบอกว่าเป็นเรา เป็นเขาหรือเปล่า ? สัญญาขันธ์เป็นของเที่ยงไหม ? เกิดขึ้นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา หรือว่าเกิดแล้วดับไป มีแล้วหมดไป ? พอมีผัสสะอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาที่เป็นเหตุใกล้ สัญญาขันธ์ก็ปรากฏขึ้นมาทาหน้าที่ ของตน พอทา หนา้ ทเี่ สรจ็ กด็ บั ไป สงั ขารขนั ธม์ สี องสว่ น สงั ขารขนั ธส์ ว่ นหนงึ่ กค็ อื วา่ รปู ขนั ธน์ เี้ ปน็ สงั ขารขนั ธ์ ที่ถูกปรุงแต่งด้วยธาตุสี่ คือดิน น้า ลม ไฟ ทาให้มีร่างกายอันนี้เกิดขึ้นมา และสังขารขันธ์อันนี้ถูกปรุงแต่ง เกดิ ขนึ้ ดว้ ยกรรม แตก่ รรมทสี่ ง่ ผลใหเ้ กดิ มขี นั ธอ์ นั นขี้ นึ้ มา เกดิ ดว้ ยกรรมประเภทไหนนนั้ นนั่ อกี อยา่ งหนงึ่
แต่ร่างกายนี้ที่ตั้งอยู่ได้ ที่ว่าเป็นสังขารขันธ์ตัวนี้ ที่มีความเสื่อมไปเปลี่ยนไป อาศัยอะไร ? อาศัย ธาตุทั้งสี่ แล้วก็อาศัยอาหาร อากาศ ยารักษาโรค ทาให้รูปนี้เจริญเติบโต เหมือนเราถูกปรุงแต่งด้วยธาตุ เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ขันธ์ตัวนี้ก็มีความเสื่อมไป มีความเปลี่ยนไป และสังขารตัวนี้ก็เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เหมือนที่เราพิจารณากาหนดรู้ถึงความเป็นคนละส่วนระหว่างรูปขันธ์กับตัววิญญาณ ขนั ธ์ ถงึ แมร้ ปู นจี้ ะเปน็ สงั ขารขนั ธท์ ปี่ รงุ แตง่ ดว้ ยธาตทุ งั้ สี่ สงั ขารขนั ธท์ เี่ ปน็ รปู สงั ขารนกี้ ไ็ มไ่ ดบ้ อกวา่ เปน็ เรา เป็นแค่รูปรูปหนึ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเป็นไปตามเหตุปัจจัยของตนของตนในแต่ละขณะ
ทีนี้ สังขารขันธ์ตัวสาคัญก็คือตัวจิตสังขาร จิตสังขารนี้สาคัญอย่างไร ? เพราะถ้าตัวจิตสังขารหรือ การปรุงแต่งทางจิตนั้น มีโมหะเป็นมูล มีโลภะเป็นมูล มีโทสะเป็นมูลแล้ว การปรุงแต่งตรงนั้นจะเป็นไป ในลักษณะอย่างไร ? การปรุงแต่งนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ? ยิ่งถ้าถูกครอบงาด้วยอวิชชา ถูกครอบงา ด้วยโมหะ ถูกครอบงาด้วยโลภะ ถูกครอบงาด้วยโทสะ ก็จะปรุงแต่งในฝ่ายอกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ สังขาร ตรงนี้แหละเมื่อปรุงแต่งจนมีกาลังมากขึ้น จิตตรงนี้ก็จะเป็นตัวสั่งให้การกระทา ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมเกิดขึ้นมา... กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ปรากฏขึ้นมานั้นก็จะส่งผลต่อชีวิตคน เราต่อไปในภายภาคหน้า
เพราะฉะนั้น การกาหนดรู้ถึงความเป็นจริงว่าสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นมาก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเรา เป็นเขา หรือเป็นใคร เป็นแค่เพียงขันธ์ขันธ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาและทาหน้าที่ของตน ถ้ากาหนดรู้ถึงความเป็นคนละ ส่วนแบบนี้ได้ การที่สังขารขันธ์ที่ปรากฏเกิดขึ้นจะประกอบด้วยอกุศลหรือประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ก็จะลดลงน้อยลง เพราะอะไร ? เพราะสติ สมาธิ และปัญญาได้เกิดขึ้นแล้วว่า สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นก็เป็น


































































































   31   32   33   34   35