Page 37 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 37

897
เพราะอะไร ? เพราะกา ลงั เขาออ่ นลง แตเ่ มอื่ มกี า ลงั มากขนึ้ ...กเ็ กดิ ดบั ถลี่ ะเอยี ดขนึ้ จงึ มอี าการสวา่ ง เหมือนแสงนั้นนิ่งตลอดเวลา แม้แต่ตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้/ตัววิญญาณรู้เองก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ สังเกตให้ดี ไม่พิจารณาถึงอาการพระไตรลักษณ์ ถึงการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่ใส่ใจโดยแยบคายแล้ว ยากนักที่จะเห็นว่าจิต/ตัววิญญาณรู้เกิดดับอย่างไร ถามว่า สาคัญแค่ไหนที่เราควรจะศึกษาหรือใส่ใจถึง การเกิดดับของตัววิญญาณรู้ ? อันนี้สาคัญอย่างยิ่ง! เพราะความละเอียดตรงนี้นี่แหละ ถ้าเห็นชัดว่าแม้แต่ จิตที่ทาหน้าที่รู้/ตัววิญญาณรู้เองก็เกิดดับตลอดเวลา จิตจะคลายอย่างสิ้นเชิง จะละอย่างสิ้นเชิง เพราะรู้ว่า ไม่มีอะไรเลยที่จะยึดได้
เมอื่ ละอยา่ งสนิ้ เชงิ แลว้ จติ /ใจร/ู้ ตวั วญิ ญาณรยู้ งั ทางานอยไู่ หม ? ยงั ทา งานอยู่ แลว้ ใครเปน็ คนยดึ ? ก็อวิชชานั่นแหละ เมื่อละอวิชชาไปแล้ว เหลืออะไร ? ก็เหลือจิตที่ทาหน้าที่รู้ พร้อมที่จะเกิดขึ้น-ตั้งอยู่- ดับไปอย่างอิสระ มีความผ่องใสในตนเอง นี่แหละสภาวธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้น การปฏิบัติธรรมก็เพื่อ พจิ ารณาสภาวธรรมเหลา่ นใี้ ห้เหน็ ชดั เจนแจม่ แจง้ ดว้ ยตนเอง แตไ่ มใ่ ชแ่ ค่เหน็ แคน่ แี้ ลว้ พอ ยงั มสี ภาวะหนงึ่ ทพี่ เิ ศษออกไปกค็ อื “สภาพจติ ใจ” การกา หนดรคู้ วามจรงิ ตรงนยี้ งิ่ แจม่ แจง้ ยงิ่ ชดั มากขนึ้ ทา ใหจ้ ติ ใจยงิ่ รสู้ กึ อิสระ มีความสบาย มีความผ่องใส มีความตั้งมั่น มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ปัญญา ความเข้าใจเฉียบแหลม สรุปอารมณ์ได้เร็ว เห็นปุ๊บ เข้าใจแล้วก็จบ เข้าใจแล้วก็จบ...
ทาไมถึงสรุปอารมณ์ได้เร็วขนาดนั้น ? จิตที่มีความอิสระ มีความสงบ สติที่มีกาลัง ปัญญาก็ เฉียบคม เห็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นซ้า ๆ จนรู้ชัดแล้วว่าสภาวธรรมที่เกิดขึ้นหรืออาการทางขันธ์ต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้น ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของตนเท่านั้น... แล้วอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ? เมื่อมีขันธ์ทั้งห้า ก็ มีอายตนะทั้งหก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ—รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ หรอื อารมณท์ งั้ หก ยอ่ มเกดิ ขนึ้ เปน็ เรอื่ งปกตธิ รรมดา เพราะเปน็ ปจั จยั ซงึ่ กนั และกนั แตอ่ ารมณ์ ทั้งหกและอายตนะทั้งหกก็ไม่ได้เป็นเราเป็นของเรา เป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เป็นไปตามขันธ์ ที่กาลังปรากฏเกิดขึ้นอยู่
ทนีี้การทพี่ดูในลกัษณะอยา่งนเี้ปน็การเอาสภาวธรรมเปน็ทตี่งั้ไมไ่ดพ้ดูถงึความเปน็คนเปน็ตวัตน เป็นเรา เป็นเขา แต่พูดถึงความเป็นสภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนือง ๆ คาว่า “เอาธรรมะ เป็นที่ตั้ง” นี่แหละที่จะเป็นเป้าหมายเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ความทุกข์นั้นดับไป เป็นการละทุกข์ เพราะนั่น คือสัจธรรมความจริง ถามว่า ห้ามอะไรเกิดไหม ? ไม่ได้ห้ามอะไรเกิด ไม่ได้บังคับอะไร เพราะทุกอย่างก็ เกิดดับตามธรรมชาติของตนของตนอยู่ตรงนั้น เราแค่พิจารณาให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วเราจะเป็นอิสระ จากโลภะ โทสะ และโมหะ
แม้การพิจารณาแค่เพียงว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นคนละส่วนกันอย่างชัดเจน จิตใจก็ผ่องใสได้แล้ว ถึงแม้ อาการพระไตรลักษณ์/การเกิดดับยังไม่ชัดนัก แต่รู้เมื่อไหร่ก็เห็นถึงความเป็นคนละส่วน... “รู้เมื่อไหร่” ใน ที่นี้หมายถึงว่าอะไร ? หมายถึงว่า พอคิดขึ้นมา ก็เห็นว่าความคิดกับจิตที่ทาหน้าที่รู้หรือความรู้สึกหรือ ใจรู้ เป็นคนละส่วนกัน, พอได้ยินเสียงขึ้นมา เสียงกับจิตที่ทาหน้าที่รู้ก็เป็นคนละส่วนกัน, มีความปวดเกิด


































































































   35   36   37   38   39