Page 20 - การป้องกันและรักษาความปลอดภัยบนเครือข่าย
P. 20
การป้ องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยบนเครือข่าย : บทที่ 1 การรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล
ปกป้ องความลับของข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในระบบ นั่นคือ กลไกควบคุมการเข้าถึง (Access
Control) กลไกการควบคุมนี้จะพิสูจน์ทราบตัวตนของผู้ที่เข้ามาใช้งานระบบว่าเป็นผู้ที่
ได้รับอนุญาตหรือไม่ ซึ่งวิธีการที่นิยมมากที่สุดคือ “การล็อกอินเข้าสู่ระบบ” โดยกลไกนี้
จะแตกต่างจากการเข้ารหัสข้อมูล เนื่องจากข้อมูลอาจถูกอ่านได้ถ้ากลไกนี้ไม่ทํางานหรือ
ทํางานผิดพลาด หรือการหลีกเลี่ยงการใช้งานกลไกนี้ ดังนั้นข้อดีข้อเสียของทั้งสองกลไก
จะเป็นคนละจุดกัน กลไกการควบคุมการเข้าถึงนั้นเป็นการปกป้ องทั้งระบบ ส่วนการ
เข้ารหัสข้อมูลนั้นเป็นการรักษาความลับของข้อมูลนั้นๆ อย่างไรก็ตามถ้ากลไกควบคุม
การเข้าถึงระบบทํางานผิดพลาดหรือล้มเหลว ข้อมูลที่จัดเก็บในระบบนั้นก็จะอยู่ใน
สภาพที่ไม่ปลอดภัยเช่นกัน อย่างไรก็ตามทั้งสองวิธีนี้สามารถใช้งานพร้อมกันได้
การรักษาความลับของข้อมูลนั้นยังรวมถึงการรักษาไว้ซึ่งการมีอยู่ของข้อมูล ซึ่ง
บางกรณียังมีความสําคัญมากกว่าเนื้อข้อมูลเสียอีก ยกตัวอย่างเช่น การได้รู้ข้อมูลที่ว่า
ผลการสํารวจความนิยมของนักการเมืองคนหนึ่งสูงมาก ข้อมูลนี้อาจมีความสําคัญน้อย
กว่าข้อมูลที่ว่า ผลการสํารวจความคิดเห็นนี้ได้จากการสํารวจความคิดเห็นจากสมาชิก
ของพรรคหรือกลุ่มผู้ที่สนับสนุนผู้สมัครนั้นเป็นส่วนใหญ่ หรืออีกอย่างหนึ่งคือ ข้อมูลที่ว่า
รัฐบาลมีรูปแบบในการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างไร อาจมีความสําคัญ
น้อยกว่าข้อมูลที่ว่า รัฐบาลได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนตัวเอง ทั้งนี้กลไก
watermark
ควบคุมการเข้าถึงบางครั้งก็เป็นการปกปิดไว้ซึ่งการมีอยู่ของข้อมูล เพื่อเป็นการป้ องกัน
ความลับของข้อมูลอีกชั้นหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าไม่รู้ว่าข้อมูลนั้นมีอยู่ก็จะไม่มีความพยายาม
ที่จะขโมยข้อมูลนั้นเกิดขึ้น
การซ่อนหรือปกปิดทรัพยากรก็เป็นอีกมุมหนึ่งของการรักษาความลับของข้อมูล
ยกตัวอย่างเช่น องค์กรอาจต้องการที่จะปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของระบบหรือ
การปรับแต่งของระบบที่องค์กรนั้นใช้งานอยู่ หรือการปกปิดไม่ให้ทราบว่าองค์กรใช้
อุปกรณ์เฉพาะใดบ้าง เพราะมันอาจถูกใช้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือใช้ในทางที่ไม่
เหมาะสมก็ได้ กลไกการควบคุมการเข้าถึงอาจใช้เพื่อการปกป้ องทรัพยากรเหล่านี้ได้
เช่นกัน
12