Page 79 - อนาคตทิศทางงานวิจัย
P. 79
79
สถานการณ์ยางพาราในตลาดต่างประเทศ
ผลผลิตยางโลกในปี พ.ศ. 2558 อยู่ที่ 12 ล้านตันเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนร้อยละ
2.7 โดยผู้ผลิตยางเป็นอันดับหนึ่งของโลกยังคงเป็นประเทศไทย รองลงมาคือประเทศ
อินโดนีเซีย และเวียดนามตามล�าดับ ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตยางธรรมชาติร้อย
ละ 34 ของการผลิตยางธรรมชาติโลก (ตาราง 22)
“ประเทศไทยผลิตยางธรรมชาติเป็น
อันดับ 1 ของโลก
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34”
ประเทศมาเลเซียเดิม เป็นประเทศที่ผลิตยางธรรมชาติแห่งหนึ่งที่ส�าคัญของโลก
แต่ได้ปรับลดพื้นที่ปลูกตามนโยบายของรัฐบาล และตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางผลิตภัณฑ์
ยางพาราของโลก” หันมาเน้นวิจัยพัฒนานวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้ยางพาราในการ
แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ถุงมือแพทย์ ถุงยางอนามัย ยางล้อ จนถึงอุปกรณ์ที่
ใช้ในยานอวกาศ ส่วนพื้นที่บางส่วนที่เดิมเคยปลูกยางพาราได้หันมาปลูกพืชอื่นอย่าง
เช่น ปาล์มน�้ามัน และก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงก่อตั้ง Rubber City ใกล้กับ
ประเทศไทย เพื่อรับวัตถุดิบจากไทยมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า ท�าให้ประเทศมาเลเซียไม่ได้
รับผลกระทบเรื่องราคายางพาราตกต�่า
“ประเทศไทยส่งออกยางธรรมชาติ
ให้ประเทศมาเลเซียมากที่สุดเป็นอันดับ 2
รองจากประเทศจีน”
สาเหตุที่มาเลเซียได้ปรับกลยุทธ์ด้านยางพาราเป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพารา
ของโลก เนื่องจากได้วางแผนล่วงหน้าจากการวิเคราะห์ข้อมูลการเพิ่มพื้นที่ปลูกยางพารา
ของประเทศอื่น ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตจะเกิดอุปทานส่วนเกิน(Over supply)
ประกอบกับสภาพพื้นที่การเพาะปลูกยางพาราในมาเลเซียไม่ดีเท่าประเทศไทยและ
อินโดนีเซีย ส�าหรับเกษตรกรของประเทศมาเลเซียที่ยังท�าสวนยางอยู่ รัฐบาลมาเลเซียก็
ยังให้เงินสนับสนุนโดยไม่เรียกกลับคืน เพื่อปลูกยางพาราในพื้นที่ใหม่ไร่ละ 7,000 ริงกิต
หรือประมาณ 55,000 บาท โดยหักเป็นค่าต้นกล้าและปุ๋ย นอกจากนั้นรัฐบาลมาเลเซีย
จะเป็นผู้ก�าหนดราคากลางโดยให้บริษัทที่ได้รับอนุญาตมาเป็นผู้รับซื้อยางพาราจาก
ชาวสวนโดยตรง จึงท�าให้ชาวสวนยางมาเลเซียเลือกได้ว่าจะขายให้ใครก็ได้ที่ให้ราคาสูง
แต่ถ้าหากประสบปัญหาราคายางตกต�่าเกิน 2 ริงกิต หรือ 15 บาท ชาวสวนยางจะได้รับ
เงินสนับสนุนจากองค์กร RISDA (Rubber Industry Smallholders Development
Authority)