Page 302 - เมืองลับแล(ง)
P. 302
๒. สำนวนสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิญาณวโรรส เสด็จตรวจการคณะสงฆ์ วันที่ ๒๒
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ทรงพระนิพนธ์ถึงวัดพระแท่นศิลาอาสน์ มีความว่า
“วัดพระแท่นศิลาอาสน์ ตั้งอยู่บนที่เป็นเนินสูง มีหินแลงมาก พระวิหารซึ่งเป็นท ี่
ิ้
ประดิษฐานพระแท่นเป็นของใหม่ ยาว ๕ ห้อง ของเดิมไฟไหม้เสียแล้ว ตัวพระแท่นเองไม่มีชน
อะไรปรากฏ ก่ออิฐถือปูนปิดลายปิดทอง พื้นบนดาดปูนทาสีแดง เป็นของปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่
เอี่ยม ส่วนยาว ๖ ศอก ๖ นิ้ว กว้าง ๕ ศอก สูง ๒ ศอก ๓ นิ้ว มีเจาะเป็นช่องกลมไว้กลางพระ
แท่น สำหรับชนผู้เลื่อมใสศรัทธาจะได้เอาทรัพย์ทิ้งลงไปในช่องนั้นฯ มีคำเล่าว่า
“พระพุทธเจ้า เสด็จมาประทับ ณ ที่นี้ ทรงห้อยพระบาทที่ต้นพุทรา และเสด็จไปยืน
้
ทอดพระเนตรที่หนองอันอยู่ใกล้ ซึ่งไดนามตามนิมิตว่า หนองพระแล” เรื่องนี้ไม่หลักฐาน
และการคล้องบาตรที่ต้นไม้ก็ไม่ใช่กิริยาของภิกษุ แต่ตรัสว่ามีคติโบราณปรากฏอยู่ที่ตัวพระ
แท่นเองครั้งพุทธกาล ภิกษุสงฆ์ย่อมแต่งตั้งพุทธอาสน์ไว้ในศาลาที่ชุมนุมของหมู่ตนทุกสำนัก ดัง
็
ี่
จะทำที่ชุมนุมนั้นให้เป็นทเสดจออกของพระศาสดา ครั้นพระศาสดานิพพานแล้ว ในพระวิหาร
ที่เคยประทับหรือสร้างต่อมา คงทำพุทธอาสน์ขึ้นไว้เป็นที่เคารพดุจเดียวกันกับ พระแทน
่
เศวตฉัตร ของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นที่เคารพของข้าราชการ”
๓. สำนวนสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์ เที่ยวตามทางรถไฟ จัดพิมพ์รวม
เล่มครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ กล่าวถึงพระแท่นศิลาอาสน์ เมืองทุ่งยั้ง มีความว่า
“พระแท่นศิลาอาสน์อยู่บนยอดเขาทอง อันเป็นเนินเทือกเขาศิลาแลง ทางด้านทศ
ิ
ตะวันตกของเมืองทุ่งยั้ง ห่างเมืองไปประมาณสัก ๒ กิโลเมตร นับถือกันว่า เป็นพระพุทธอาศน์มี
คนไปบูชาเสมอ และมีกำหนดการประชุมมหาชนไปบูชาเวลาเทศกาลกลางเดือน ๓ กับ
กลางเดือน ๔ มิได้ขาด มีผู้ศรัทธาก่อสร้างสถานที่ต่าง ๆ ถวายเป็นพุทธบูชาเป็นอันดับมา จนเป็น
วัดใหญ่แห่งหนึ่ง ตัวพระแท่นศิลาอาสน์นั้นเห็นจะเป็นศิลาแลง แต่รูปสัณฐานของเดิมจะเป็น
ั
อย่างไร ทุกวันนี้เห็นไม่ได้แก่ตา ด้วยทำลวดลายแต่งประกอบเป็นสณฐานพระพุทธบัลลงก์ลงรัก
ั
ปิดทองประดับกระจก มีมณฑปสวมพระแท่นชั้นในแล้วสร้างวิหารใหญ่อีกชั้น ๑ มีกำแพงแก้ว
รอบต่อออกไป ในลานวัดพระแท่นมีหอระฆังและศาลาใหญ่น้อยอีกหลายหลัง มีวิหารอีกหมู่หนึ่ง
เรียกว่า วัดพระยืน อยู่บนเนินไม่ห่างวิหารพระแท่นนัก
ที่วัดพระยืนนี้มีวิหารหลังหนึ่ง กับมณฑปหลังหนึ่ง ในมณฑปนั้นประดิษฐานรอยพระ
พุทธบาททั้งซ้ายขวาเคียงกันอย่างรอยเท้าคนยืน จึงเรียกว่า พระยืน พิจารณาดูบรรดาของท ี่
ั
สร้างไว้ในจังหวัด พระแท่นศิลาอาศน์ไม่เห็นมีของสิ่งใดทฝีมือจะเก่าถึงกรุงสุโขทยเป็นราชธานี
ี่
่
สักสิ่งเดียว ที่เป็นของอย่างเก่าก็เพียงฝีมือชางครั้งกรุงศรีอยุธยา ข้อนี้ก็สมกับเรื่องพงศาวดาร
มหาสรีธัมมติโลกราชะ : ติโลกราชกับอำนาจเหนือดินแดนเหนือล่าง
หน้า ๑๔