Page 303 - เมืองลับแล(ง)
P. 303

ั้
                                                 ่
                                                         ิ
                       ด้วยพระแท่นศิลาอาศน์นี้มีได้กลาวถึงในศลาจารึกครั้งสุโขทัย คงมาเลื่อมใสกันต่อในชนกรุงศรี
                       อยุธยา  แรกปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารเมื่อแผ่นดินพระเจ้าบรมโกษฐ์ ว่าเมื่อ พ.ศ.
                       ๒๒๘๓ ได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพระแท่นศิลาอาศน์ และครั้งนั้นได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์มหา

                       เจดียสถาน ณ ที่ต่าง ๆ ตามหัวเมืองเหนือ มีวัดมหาธาตุเมืองพิษณุโลก เป็นต้น ของที่ทรง

                       ปฏิสังขรณ์ยังปรากฏอยู่เป็นหลายแห่ง แต่พระแท่นศิลาอาศน์คงเป็นที่นับถือของมหาชนว่า
                       เป็นมหาเจดียสถานมาก่อนรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ์แล้ว จึงได้เสด็จไปนมัสการ



                            เรื่องตำนานของพระแท่นศิลาอาศน์ตามความที่กล่าวกันในพื้นเมืองนั้น  อ้างเรื่องถอย
                     หลังขึ้นไปถึงครั้งพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ยังเสวยพระชาติเป็นสัตว์เดียรฉาน  ว่าได้มาจำศีล

                                                                                                   ็
                     บำเพ็ญพุทธบารมีอยู่ด้วยกัน ณ ที่ตำบลนี้  ครั้นถึงปัจฉิมชาติพระองค์ใดได้ตรัสรู้แล้วก็ว่าไดเสดจ
                                                                                                ้
                                                                                                    ี
                     มาประทับ ณ พระแท่นศิลาอาศน์นี้ทุกพระองค์  แต่ถ้าพิจารณาดโดยหลกฐานในทางโบราณคด
                                                                           ู
                                                                                 ั
                                                         ้
                     เหตุที่จะสร้างพระแท่นศิลาอาศน์นี้  เห็นมีเคาเงื่อนอยู่อย่างหนึ่ง  ด้วยประเพณีในมัชฌิมประเทศ
                     แต่ชั้นเดิมมาจนครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น  การที่จะสร้างพระพุทธรูปหามีอย่างธรรมเนียมไม่
                     ถ้าจะทำลวดลายเป็นเรื่องพุทธประวัติย่อมทำเป็นรูปพระพุทธอาสน์  หรือมิฉะนั้นก็ทำรูปรอย
                     พระพุทธบาทหรือรูปพระธรรมจักรเป็นเครื่องหมายแทนพระพุทธองค์  พระพุทธรูปนั้นพวก

                     โยนกชาวเมืองคันธารราษฎร์ข้างฝ่ายเหนือคิดประดิษฐ์ขึ้น  ต่อเมื่อราว พ.ศ. ๕๕๐  แล้วจึงทำ

                     แพร่หลายต่อไปในที่อื่นโดยลำดับมา  เพราะเหตุเดิมเป็นเช่นว่ามานี้  แม้เมื่อพุทธศาสนิกชนชอบ
                     บูชาพระพุทธรูปทั่วไปแล้ว  การที่จะสร้างพระประธานในโบสถ์วิหารก็ยังไม่ทิ้งคติเดิม  มักทำ

                     ฐานชุกชี  หมายความว่าพุทธอาศน์อย่างแบบเดิมเสียชั้นหนึ่งก่อน  แล้วจึงทำฐานตั้งพระพุทธรูป

                                                                                                ้
                     บนฐานชุกชีนั้น  เลยเป็นแบบอย่าง  แม้พระอารามหลวงในกรุงเทพฯ นี้ก็มีฐานชุกชีแทบทังนั้น
                     ความคิดที่ทำพระแท่นศิลาอาศน์เป็นความคิดเดียวกับที่ทำอาสนะบูชาของเดิม  รอยพระพุทธ

                     บาทคู่  ที่เรียกว่าพระยืนอันมีอยู่ในวัดพระแท่นศิลาอาศน์  ก็เป็นของสร้างตามความคิดเดิมมาแต ่

                                                                      ิ
                                                                                                   ู้
                     ตำราอันเดียวกัน  เพราะฉะนั้นผู้ที่มาคิดสถาปนาพระแท่นศลาอาศน์และพระยืน  น่าจะเป็นผมี
                                                                             ึ่
                                                                                           ่
                     ความรู้และเคยเห็นของเก่ามาแต่ทอื่น  บางทีจะเป็นพวกพระสงฆ์ซงไปศึกษามาแตลังกาทวป
                                                 ี่
                                                                                                  ี
                     ในครั้งรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถหรือภายหลังนั้นมา  มาคิดสร้างขึ้นเมื่อมีผู้ศรัทธา
                                                                                             ั
                     เลื่อมใสมาก  ตำนานที่ว่าพระเจ้า ๕ พะองค์เคยมาจำศีลแต่บุรชาติ  และได้มาประทบยับยั้ง
                     ในเวลาเมื่อตรัสรู้แล้ว  เห็นจะเกิดขึ้นประกอบต่อภายหลัง"








                             มหาสรีธัมมติโลกราชะ : ติโลกราชกับอำนาจเหนือดินแดนเหนือล่าง


                                                        หน้า ๑๕
   298   299   300   301   302   303   304   305   306   307   308