Page 4 - เรื่องที่ ๑๔-๒๕๖๔ ระบบกล่าวหาและระบบไต่สวน
P. 4
๔
ส่วนการดำเนินคดีในระบบกล่าวหา (Adversarial System) เป็นระบบที่แก้ไขปัญหาระบบ
์
ไต่สวนที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ที่รวมอำนาจในการสอบสวนฟ้องร้องและการพิจารณาคดีอยู่ในองคกร
เดียวกัน และไม่เปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีหรือแก้ข้อกล่าวหาได้ ดังนั้น ระบบกล่าวหาจึงแยกหน้าที่สอบสวน
และฟ้องร้อง" ออกจากหน้าที่ใน "การพิจารณาพิพากษา" โดยให้องค์กรที่ทำหน้าที่ทั้งสองแยกต่างหากจากกัน
และยกฐานะของผู้ถูกกล่าวหาเป็น "ประธานในคดี" จึงไม่อยู่ในฐานะถูกซักฟอกหรือเป็นกรรมในคดี แต่ถือว่า
เป็นคน และเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาคดี มีสิทธิต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ และ
ห้ามมิให้ดำเนินคดีอันมิชอบแก่ผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องให้ความเคารพต่อสิทธิอันเป็น
หลักประกันของผู้ถูกกล่าวหา ในการดำเนินคดีของศาลนั้น ศาลจะดำเนินคดีต่อเมื่อพนักงานอัยการฟ้องร้อง
๖
้
ต่อศาล และศาลจะมีคำพิพากษาหรือสั่งเกินกวาที่ขอมาในฟ้องไม่ได
่
สำหรับระบบไต่สวนนั้นทำให้เกิดมีอัยการขึ้นมา โดยเห็นว่าการดำเนินคดีไม่ใช่เรื่องของ
เอกชนอีกต่อไป การกล่าวหาฟ้องร้องในคดีไม่สามารถที่จะพึ่งพิงการริเริ่มจากเอกชนได้ ระบบไต่สวนจึงเป็น
๗
ระบบที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาการของศาลและกระบวนการยุติธรรม และทำให้ระบบคณะลูกขุนเสื่อมถอยไป
๒.๒ ลักษณะสำคัญของระบบไต่สวนที่มีผลต่อบทบาทของศาลและคู่ความ
แต่เดิมมาการดำเนินคดีในระบบไต่สวนจะกระทำโดยผู้พิพากษาผู้กล่าวหา (juge accusateur)
ซึ่งได้รับมอบอำนาจที่สำคัญ ระบบไต่สวนจะใช้ในประเทศที่รัฐมีอำนาจมาก โดยคำนึงถึงประโยชน์ของสังคม
มาก่อนประโยชน์ส่วนตัวของบุคคล และไม่ต้องการคุ้มครองสิทธิของปัจเจกบุคคลมากจนเกินไป จนทำให้
ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ
ระบบไต่สวนเป็นระบบวิธีพิจารณาคดีที่สอดคล้องกับหลักการไต่สวนโดยศาล (The Principal
of Judicial Investigation) โดยหลักการไต่สวนโดยศาลนี้ เป็นหลักที่ใช้กันมากในกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญาและคดีปกครอง โดยมีเหตุผลว่าคดีอาญา คดีปกครอง ไม่ได้เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของ
เอกชนแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของรัฐด้วย ศาลจึงควรมีอำนาจในการรวบรวมและแสวงหา
ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในคดีได้ด้วยตนเอง รวมทั้งมีอำนาจค้นหาสาระสำคัญ (material) หรือความจริง
ในคดี (absolute truth) ดังนั้น ศาลจึงมีหน้าที่ต้องพิจารณาให้แน่ใจถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความนำเสนอและ
ต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้นำเสนอต่อศาลด้วย
ระบบไต่สวนจึงเป็นระบบวิธีพิจารณาคดีที่ทำให้ผู้พิพากษาได้รับความกระจ่างแจ้งในขอเท็จจริง
้
ิ
ิ
ุ
ิ
ี
ี
ี
ก่อนที่จะตัดสนคดี เป็นระบบวธพิจารณาคดีที่ผู้พิพากษามีบทบาทเชงรก และเป็นระบบวธพจารณาคดที
ิ
ิ
่
ผู้พิพากษามีบทบาทสำคัญในการแสวงหาขอเท็จจริงและพยานหลักฐานในคดี ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของรัฐ โดย
้
คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวของคู่ความ ซึ่งอาจทำให้กระทบสิทธิของคู่ความบางประการ
เช่น สิทธิในการโต้แย้งคัดค้านต่อสู้คดี (les droits de la défense) และผู้พิพากษาในระบบไต่สวนจะมีอำนาจ
ในการใช้ดุลพินิจพิจารณาพยานหลักฐานได้ด้วยตนเองมากกว่าผู้พิพากษาในระบบกล่าวหา
ั
ิ
ชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ และพระราชบัญญัตวิธีพิจารณาคดคามนุษย พ.ศ. ๒๕๕๙, (กรุงเทพมหานคร : สำนกงานศูนย์วิจัยและให้
ี
์
้
คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสำนกงานกจการยุติธรรม, ๒๕๖๐), หน้า ๔๐.
ั
ิ
๖ Corinne RENAULT-BRAHINSKY, p. 33-34.
๗ Serge GUINCHARD, Jacques BUISSON, Procédure Pénale, 7 édition (LexisNexis, 2011), pp. 45-46; Corinne
e
RENAULT-BRAHINSKY, Op. cit., p.26.