Page 102 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 102

34
ลุกเลย อุตส่าห์เขียนจดหมายไปตั้งวันหนึ่งนะ ขนาดแค่นั้นเดินทางยาวมากเลย จากศาลามาที่สอบอารมณ์ กว่าจะได้ตอบ นี่คือประโยชน์หรือการกระทาที่เรารู้ว่าเราต้องทาอย่างไร เรารู้ว่าใช้จิตประเภทไหน เรามอง ทะลุได้อย่างไร เรามองให้ทะลุรูปได้อย่างไร
สงั เกตดู เพราะตวั ทมี่ องเปน็ ความรสู้ กึ ทวี่ า่ ง รบั รทู้ างตาเอาความรสู้ กึ ทวี่ า่ ง ๆ มาไวท้ ตี่ า ลองดสู จิ ะ รู้สึกอย่างไร ตาจะรู้สึกเลยว่าไม่มีลูกตา แล้วเรามองภาพข้างหน้าแล้วมองให้ทะลุไปเลย มองให้หายไปเลย รู้สึกสบายตากว่าไหม มองทะลุไปเลย ผัสสะที่เกิดขึ้น การมองทะลุกับมองให้ภาพนั้นเป็น ๒ มิติคนละ อย่างกันเลย มองทะลุภาพภาพนั้นจะทะลุหายไปจะไม่มีความหมายในความรู้สึกเรา การที่มองทะลุแบบ นี้ไม่ใช่เป็นการไม่ให้เกียรติคนอื่น บางครั้งเรามองมองให้หายไปเลย ด้วยความรู้สึกที่มองให้หายเพราะไม่ ชอบ เห็นไหมถ้าไม่ชอบไม่มีหาย ถ้าจะมองให้หายแม้แต่อยากจะลืมก็ลืมยาก แต่ถ้ามองด้วยความรู้สึกที่ ว่าง มองให้ทะลุไม่มีคาว่าไม่ชอบ มองเพื่อป้องกันผัสสะกระทบที่เข้าถึงใจเรา
จริง ๆ แล้วอีกอย่างหนึ่ง นอกจากมองทะลุแล้วมองอะไรเกิดตรงไหนดับตรงนั้น อย่างเช่นเรา มองขวดใสแล้วนี่นะเดี๋ยวมองไม่ชัด เรามองอันนี้...ถ้ามองปุ๊บที่อาจารย์บอก เวลามองพอเห็นปุ๊บความ รู้สึกมากระทบแล้วให้ดับอยู่ตรงนี้ กระทบแล้วก็ดับ ภาพนี้หยุดอยู่ตรงนี้แล้วก็ดับอยู่ตรงนี้ ลองดูสักพัก จิตรู้สึกอย่างไร กลับมองแล้ววูบวิ่งไปหาตัวเรา ส่วนใหญ่มองแล้วเข้าถึงใจแทนที่จะให้เกิดตรงนี้ดับตรงนี้ นี่คือเจตนาที่เราจะมองมองปุ๊บหยุดอยู่ตรงนั้นเลย มองแล้วหยุดอยู่ตรงนี้ปุ๊บ ภาพที่เห็นรู้สึกหนักเบาและ ใจเรารู้สึกเป็นอย่างไร เห็นอย่างนี้แล้วเพื่ออะไร เพื่อไม่ให้กระทบ ถามว่ามองอย่างนี้แล้วอารมณ์เหล่านี้ กระทบจิตใจเราหรือเปล่า อันนี้คือตัวอย่างอารมณ์ ไม่แยกว่าเป็นดีหรือไม่ดี นั่นคือการเห็นผัสสะที่เกิด ทางตาเรา
ไมใ่ ชว่ า่ เรอื่ งทชี่ อบเรอื่ งไมช่ อบ เรอื่ งทชี่ อบหรอื ไมช่ อบนนั่ คอื เงอื่ นไขของเราเอง การทเี่ ราตงั้ เงอื่ นไข ใหเ้ ราเอง เราปลกู ผกู เงอื่ นขนึ้ มาแลว้ เรากไ็ มแ่ ก้ แลว้ มนั กก็ ระทบ ๆ ๆ ถา้ ไมม่ เี งอื่ นกระทบคงไมเ่ จบ็ เทา่ ไหรน่ ะ ถ้ามีเงื่อนมีปมเวลาปวดแต่ละที เคยได้เห็นไหม เชือกที่เป็นปมเวลาหวดลงไปมันเพิ่มน้าหนัก ใครผูก เราผูกเองแล้วเราก็เจ็บเอง ผูกเองแล้วก็หวดตัวเอง ไม่ใช่ผูกเองแล้วหวดคนอื่นนะ กลายเป็นแบบนั้นไป อารมณ์เข้ามาผัสสะก็เลยเป็นปมอยู่ในใจของเรา เป็นปมแล้วกระทบเขาก็สะดุ้ง ๆ ๆ เพราะมันติดอยู่ใน ใจของเรา
เพราะฉะนั้นการที่รับรู้ผ่านบรรยากาศ รับรู้ผ่านบรรยากาศ รับรู้อย่างไม่มีเรา สังเกตได้เลยว่าทุก ครั้งที่รับรู้อย่างไม่มีตัวตนจะมีความสงบ อันนี้ต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเองนิดหนึ่ง ซื่อสัตย์ต่อตัวเองในที่นี้ ต้อง เห็นชัดว่าไม่มีตัวตนจริง ๆ แล้วเราจะเข้าใจถึงภาพที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าจริง ๆ ถึงธรรมชาติของอารมณ์ ที่อยู่เฉพาะหน้าจริง ๆ ว่าเขาเป็นอย่างไร อันนี้อย่างหนึ่ง
นอกจากการที่เรารับรู้ผ่านบรรยากาศไม่กระทบจิตใจเราแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราพึงพิจารณาแล้วเรา ย้อนกลับมาดูตัวเอง รู้สึกเป็นอย่างไร ขณะที่รับรู้ผ่านบรรยากาศนี้เรายังคิดอะไรต่อ สิ่งที่เราคิดต่อไม่ใช่ ภาพข้างหน้าที่เข้ามากระทบ แล้วกลายเป็นความคิดที่อยู่ในใจของเรา ที่เกิดต่อจากการเห็นภาพนี้แหละมา


































































































   100   101   102   103   104