Page 125 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 125
57
เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันได้ง่าย ก็คือพอคิดถึงอะไรก็ปรุงแต่งต่อ เห็นอะไรก็คิด ๆ ๆ ๆ กลายเป็นความ ปรุงแต่งต่อไป คิดขึ้นมา ส่วนใหญ่เราคิดเรื่องอะไรที่ทาให้ปรุงแต่งต่อ เรื่องที่เพลิดเพลิน ก็จะปรุงแต่ง ในเรื่องที่ปรากฏขึ้นมา ปรุงไปเพลินไปกับเรื่องที่ทาให้ทุกข์ ระลึกถึง คิดขึ้นมา ผุดขึ้นมา ก็ปรุงแต่งให้เกิด เป็นความทุกข์ขึ้นไป เรื่องเก่าผุดขึ้นมาก็ปรุงแต่ง คิดต่อไปให้เกิดความทุกข์ หรือปรุงต่อเนื่องไป นี่คือ ลักษณะของความคิดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น นี่ก็คือเรื่องของขันธ์ เป็นเรีองของจิต เป็นตัวสัญญาขันธ์ สังขาร ขันธ์ที่เกิดขึ้น
ทีนี้พอมีความคิดเกิดขึ้น เราจะต้องกาหนดในลักษณะเดียวกันนะ ไม่ลืมหลักว่า เรากาหนดอาการ ทางกาย กาหนดเวทนา ก็ให้เห็นว่าทางกาย เวทนานั้น ปรากฏเกิดขึ้นในที่ว่าง ๆ ไม่มีเรา ไม่มีความเป็น เจ้าของ มีแต่อาการที่ปรากฏอยู่ในที่ว่าง ๆ ความคิดก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีความคิดปรากฏเกิดขึ้น เมื่อมี ความคิดปรากฏเกิดขึ้นให้กาหนดรู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของความคิด ให้ความคิดนั้นเกิดขึ้นอยู่ในที่ ว่าง ๆ ให้รับรู้ความคิด ด้วยความรู้สึกที่ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน มีแต่จิตที่ว่าง ๆ จิตที่สงบ จิตที่ตั้งมั่น กาหนด รู้อาการ การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไปของความคิด
ที่จัดเป็นความคิด ย่อลงมาให้สั้น ย่อลงมาให้สั้น ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไร เพราะความคิดมีหลาย เรื่องที่คนเราคิด มีผัสสะขึ้นมาก็คิดปรุงแต่งไปสารพัดเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกี่ เรื่องก็ตาม ถ้าเป็นความคิดก็จัดเป็นเรื่องของจิต ก็เป็นความคิดอย่างหนึ่ง ถ้าเรากาหนดรู้ว่าอันนี้กาลังคิด แล้วนะ คิดไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว ความคิดที่ดีเกิดขึ้นแล้ว ก็กาหนดรู้ว่าความคิดนั้นเกิดแล้วดับอย่างไร ความ คิดที่เกิดข้ึนเกิดอยู่ในความสงบ ความคิดท่ีเกิดขึ้นเกิดอยู่ในท่ีว่าง ๆ ความคิดท่ีเกิดข้ึนเกิดอยู่ห่างจากตัว ไม่ได้เกิดอยู่ข้างใน ไม่ได้เกิดอยู่ท่ีสมอง แต่เกิดอยู่ในที่ว่าง ๆ
อนั นี้ ทพี่ ดู อยา่ งนี้ ทา ไมเรามเี จตนาใหค้ วามคดิ เกดิ อยใู่ นทวี่ า่ ง ๆ ได้ ทพี่ ดู อยา่ งนี้ เพราะเราสามารถ แยกรปู แยกนาม แยกนามกบั นาม แยกจติ กบั จติ ได้ คอิ ทา จติ ใหว้ า่ ง ใหก้ วา้ งกวา่ ตวั ได้ กวา้ งกวา่ เวทนาได้ กวา้ ง กวา่ เรอื่ งทคี่ ดิ ได้ พอเราทา จติ ใหว้ า่ งใหก้ วา้ งกวา่ เรอื่ งทคี่ ดิ ปบ๊ื ความคดิ นนั้ กจ็ ะอยใู่ นทวี่ า่ ง ๆ อยหู่ า่ งตวั ออกไป แล้วพิจารณาดูการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความคิดเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีเรา ไม่ใช่ของเรา เมื่อความคิดเกิดขึ้น กาหนดรู้ถึงการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป บางทีความคิดขึ้นมา ไหลไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นการดับ ทาอย่างไรดี
ก็ลองสังเกตดู...จิต อีกจุดหนึ่ง ก็คือตัวจิตที่ทาหน้าท่ีรู้ความคิด จิตที่ทาหน้าที่รู้ เที่ยงหรือไม่เที่ยง เขาเรียกใจรู้ เรียกว่าวิญญาณรู้ ใจที่ทาหน้าที่ ใจรู้ที่ทาหน้าที่รู้ความคิดอยู่ ใจที่ทาหน้าที่รู้ความคิด มีอาการ รแู้ ลว้ คา้ งอยอู่ ยา่ งนนั้ หรอื วา่ รแู้ ลว้ ดบั ไป มแี ลว้ หมดไป ดบั ไป แลว้ กเ็ กดิ ขนึ้ มาใหม่ เพอื่ ทจี่ ะรคู้ วามคดิ ใหม่ การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เปลี่ยนไปอย่างนี้ มีเจตนาที่จะรู้ถึงอาการเกิดดับของความคิด พอใจที่จะกาหนดรู้ ถึงการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของความคิด นี่คือการดูจิตในจิตอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่าทุก ๆ สภาวะที่เกิดขึ้น ทุก ๆ อารมณ์ที่เข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติ หน้าที่ผู้เจริญกรรมฐาน จึงมีหน้าที่พร้อมที่จะ กาหนดรู้ ถึงการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของอารมณ์นั้น ๆ เพื่อที่จะเห็นความเป็นจริง เพื่อที่จะพัฒนาสติสมาธิ