Page 132 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 132
64
เป็นอย่างไร มันสงบ มันเบาสบาย ไม่วุ่นวาย ไม่กระสับกระส่าย นั่นคือความสงบ ความอิสระ ความไม่มี อุปาทาน
เพราะฉะนั้นเราต้องใช้กับทุก ๆ อารมณ์ อย่างเช่น พอเรานั่งไป รู้พองยุบไป แล้วก็จิตเป็นคนละ ส่วน จิตให้กว้างขึ้น เป็นคนละส่วนกับตัว รู้สึกสบายอย่างนี้ ทีนี้พอมีเวทนาขึ้นมา มีความปวด สมมติว่า มีเวทนาขึ้นมา ที่สาคัญต้องรู้นะว่า เวทนาที่เกิดขึ้นนี่นะ เกิดอยู่ตาแหน่งไหน เบื้องต้นต้องรู้ ไม่ใช่ว่าเกิด อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันสู้ไม่ได้ อย่างเช่น ทีนี้นิดหนึ่ง พอรู้ว่าเวทนาเขาเกิดที่หัวเข่า เกิดที่หัวเขาปุ๊ปนี่นะ เป็นหัวเข่าเราไหม...เป็นของเราทันที เมื่อกี้นี้แยกออกไปแล้ว แต่พอกลับมา อ้าว! เป็นของเราอีกแล้ว ทาไม ไม่แยกเหมือนเดิม ในเมื่อจิตเราแยกออกมา กว้างกว่าตัวทุกส่วน
สังเกตไหมว่า จิตที่เราแยก ยกจิตขึ้นสู่ความว่างนี่นะ จิตกับตัวแยกกัน เราแยกจิตกับทุกส่วนของ ร่างกายเลย แม้แต่เส้นผม อย่าว่าแต่เข่าเลย แม้แต่เส้นผมก็เป็นคนละส่วนกับจิตที่ว่าง เห็นไหม ทุกส่วน ร่างกายแยกจากกัน เพราะฉะนั้นคือ ทีนี้พอเป็นเวทนาเกิดที่หัวเข่าปุ๊ป เป็นหัวเข่าเราทันที ทาไมไม่แยก เหมือนเดิม อ๋อ! ลืมไป ทีนี้วิธีก็คือว่า พอเป็นแบบนี้ทาอย่างไร เราก็แยกเหมือนเดิม ลองดูสิว่าแยกจิตกับ กายออกจากกันปุ๊ป เวทนาเกิดที่หัวเข่า พอเวทนาเกิดที่หัวเข่า เขาเกิดที่ไหน เกิดที่กาย พอเกิดที่กาย ลอง สังเกตจิตที่ว่าง ๆ ที่เบา ๆ กับความปวด เขาเป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน นี่คือการกาหนดรู้
แยกระหว่าง จิตที่ทาหน้าที่รู้กับเวทนาอีก กลายเป็นว่าจิตที่เบา ๆ จิตที่ว่างกับเวทนาเป็นคนละส่วน กันปุ๊ป พอเห็นเป็นคนละส่วนกัน แต่จิตเรายังไม่มีกาลัง หรือสู้เวทนาไม่ได้ มันปวด ๆ ทีนี้พอเป็นคนละ ส่วนกัน ทีนี้จิตที่ต้องสังเกต ก็คือว่า เวทนาที่เกิดขึ้น เวลาเขาปวดมาก ๆ นี่นะ จิตของเราอยู่ใกล้ อยู่ไกล เวทนาแค่ไหน อันนี้ต้องสังเกตนะ พอปวดขึ้นมาปุ๊ป เราก็ไปเกาะเวทนาของฉัน แล้วก็ฉันปวด ๆ ฉันปวด มาก ๆ ฉันทนไม่ได้
ลองถอยจิตออกมานิดหนึ่ง ถอยออกมาแล้วก็ทาให้จิตใจกับเวทนา...แล้วก็สังเกตไป พอถอยออก มาขยายจติ ใหก้ วา้ ง เวทนาเรมิ่ เบาลง กค็ อ่ ยสงั เกตไปวา่ เวทนาเขาเปลยี่ นอยา่ งไร เขาเปลยี่ นเบาลง พอชดั ขนึ้ มาอีกก็ถอยนิดหนึ่ง ตรงนี้เขาเรียกรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว รู้...แต่ไม่ใช่ว่าทิ้งเวทนา ไม่สนใจแล้วนะ ไม่สนใจ เราสนใจ แต่กาหนดรู้เป็นระยะ เข้าไปรู้ใกล้ ๆ พอเขาเปลี่ยนแปลงไป พอชัดขึ้นมาทนไม่ได้ ก็ถอยออกมา แยกจติ ใหห้ า่ งออกมาอกี ทหี นงึ่ แลว้ กเ็ ขา้ ไปรใู้ หม่ ทา แบบนสี้ ลบั กนั ไป จนกวา่ ...ทา สลบั กนั ไปจนกวา่ เวทนา หายไป
ทีนี้อาจารย์พูดถึงกาย...ไกลถึงเวทนาเลยนะนี่นะ รวมหมด ถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ว่าจะแยกทีละ เรื่อง แต่ก็ไม่เป็นไร จาให้ได้นะ โยคีต้องพิจารณาแยก การกาหนดรู้แบบนี้ พอแยกจิตกับเวทนาได้ ถาม อีกนิดหนึ่ง เมื่อกี้นี้ เราแยกจิตออกมากับกายปื๊บ จิตที่ว่างเบาเขาบอกว่าเป็นเราไหม ไม่บอกว่าเป็นเรา ทีนี้ พอแยกจิตกับเวทนาออกจากกัน ให้จิตกว้างกว่าเวทนา ความปวดที่เกิดขึ้น พอไม่มีเรา พอจิตมันไม่มีเรา แลว้ ความปวดทเี่ กดิ ขนึ้ ทหี่ วั เขา่ เขาบอกวา่ เปน็ เราไหม ไมบ่ อกวา่ เปน็ เรา นนี่ ะเวทนา...สกั แตว่ า่ เวทนา ไมใ่ ช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เวทนาก็ไม่เที่ยง