Page 265 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 265
197
ดูว่าเขามีการเกิดดับเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไป อาการที่ปรากฏขึ้นตรงนี้ รวมทั้งเสียงที่ได้ยิน รวมทั้งความ เย็นร้อนอ่อนแข็ง เคร่งตึงหนักเบา ที่เกิดขึ้นตามร่างกายของเรา เพราะเหล่านั้นก็คือสภาวธรรมนั่นเอง
เพราะฉะนั้นถ้าว่างแบบนี้ เราสังเกตในลักษณะอย่างนี้ก็จะเห็นว่า จะมีสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่ง ปรากฏเกิดขึ้น ให้เราได้ตามรู้ต่อ บางทีรู้สึกว่าง ๆ แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกถึงลมที่มากระทบกาย มากระทบผิว เรา มาแบบเอื่อย ๆ กระทบแบบเบา ๆ เย็น ๆ แล้วก็จางไป กระทบแบบเบา ๆ เย็น ๆ แล้วก็จางไปหายไป ตรงนนั้ แหละคอื อารมณป์ จั จบุ นั ทเี่ ราตอ้ งใสใ่ จ เขาจะแสดงอาการพระไตรลกั ษณ์ เขาจะแสดงอาการเกดิ ดบั ให้เราได้กาหนดรู้ตามรู้ต่อไป นั่นคืออาการเป็นสภาวธรรมที่กาลังปรากฏจริง ๆ ในขณะนั้น เดี๋ยวนั้นจริง ๆ ในขณะนี้เดี๋ยวนี้ที่กาลังปรากฏ ไม่ใช่ปรากฏเมื่อนานมาแล้ว หรือคิดว่าเขาจะปรากฏ เพราะฉะนั้นนี่คือ อารมณ์ปัจจุบัน
และอกี อยา่ งหนงึ่ กค็ อื วา่ ถา้ เรานงิ่ ในความวา่ งบรเิ วณตวั นงิ่ อยใู่ นความวา่ งบรเิ วณตวั ถา้ นงิ่ มากพอ ถ้านิ่งมากพออาจจะเห็นอาการกระเพื่อมของตัว หรือมีอาการกระเพื่อมไหวของหัวใจ อาการเต้นของหัวใจ ปรากฏชัดขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ตามกาหนดรู้อาการเต้นของหัวใจ อาการกระเพื่อมไหวที่รูปที่ตัวเรา นั่นแหละ ให้มีสติตามกาหนดรู้ดูว่ากระเพื่อมไหวแล้วดับอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นั่นคือ อารมณ์สภาวธรรมที่เกิดขึ้นในความว่าง เกิดขึ้นมาในที่ว่าง ๆ ในความว่างบริเวณตัวเรา หลังจากลมหายใจ หายไป
แต่ทีนี้ถ้าว่างแล้ว บางทีเราว่างแล้วจิตไม่ตื่นตัว ว่างแล้วเริ่มมัวเริ่มสลัวเริ่มสติอ่อน เหมือน คล้าย ๆ จะมีตัวถีนมิทธะ ความง่วง ความเหงา ความง่วงเข้ามาครอบงา ตรงนี้ก็ต้องกาหนดรู้ ต้องมี เจตนาที่แก่กล้า ที่จะเข้าไปกาหนดความง่วงเอง ขณะที่ความง่วงเกิดขึ้น ลองสังเกตดู ความง่วงที่เข้ามาก็ จะมีอาการทึบ ๆ สลัว ๆ ปกคลุมขึ้นมา ปกคลุมลงมาจากข้างบน จากศีรษะเราลงมาเรื่อย ๆ ๆ จนถึงระดับ ดวงตาของเรา พอถงึ ระดบั ดวงตากจ็ ะหลบั นะ ถา้ ตา่ กวา่ ดวงตากส็ ปั หงกแลว้ มนั จะเคลมิ้ ๆ เบลอ ๆ สลวั ๆ ที่เราเรียกว่าตัวถีนมิทธะ...ตัวกิเลสตัวหนึ่ง
แต่เมื่อเป็นอย่างนั้นอาการอย่างอื่นไม่ปรากฏ มีแต่ความง่วงอย่างเดียว ลองสังเกตดูนะ ถอยจิต ออกมาจากข้างหน้า ถอยออกมาแบบปล่อยจิตของเราให้กว้าง หรือขยายจิตที่ว่างอยู่แล้วที่เบาอยู่แล้วให้ กว้างออกไป ไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ ยิ่งถ้าเราสามารถใช้จิตทะลุบริเวณสมองไปได้นี่นะ จิตที่ว่าง ๆ ไปที่สมองแล้วทะลุไปได้ เราก็เอาจิตที่ว่างที่เบานี่แหละ เข้าไปที่ความง่วงความสลัว แล้วก็กระจายออกไป ขยายออกไป ขยายไป ขยายซ้าแล้วซ้าอีก ขยายแล้วขยายอีก ขยายจนความง่วงหายไป เราทาซ้า ๆ ๆ ๆ จนความง่วงหายไป เพราะงานหลักคือแก้ความง่วง...ละตัวถีนมิทธะ
ถา้ เรากา หนดไดแ้ บบนจี้ ติ กจ็ ะตนื่ ขนึ้ มา พอจติ ตนื่ ขนึ้ มาหมายถงึ วา่ กา ลงั สตเิ รา สตเิ รามกี า ลงั มากขนึ้ เมื่อสติมีกาลังมากขึ้น อาการเกิดดับอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะปรากฏขึ้นมาอีก อย่างที่เราเคยกาหนดอาการ ของลมหายใจเข้าออก อาจจะมีความคิดเข้ามาแทน อาจจะมีความคิดปรากฏขึ้นมา คิดสัพเพเหระ คิดเรื่อง ที่เป็นสาระ คิดเรื่องที่ทาให้เราเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะคิดเป็นแบบไหนก็ตาม ในขณะที่เราเจริญกรรมฐานแบบนี้