Page 338 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 338
270
หมดไป ใหด้ ู “สภาพจติ ” รสู้ กึ อยา่ งไร พอความคดิ หมดไปแลว้ รสู้ กึ โลง่ ขนึ้ มา ใหก้ ลบั มารอู้ าการเกดิ ดบั ของ การเดินต่อ นั่นคือกลับมาพิจารณาอาการพระไตรลักษณ์อาการเกิดดับของอารมณ์หลักต่อไป
พอกลับมากาหนดอาการเกิดดับของการเดิน สักพักความคิดขึ้นมาอีก รู้ต่อไปว่าความคิดที่เกิดขึ้น คราวนี้ “ต่าง” จากก่อนหน้านี้อย่างไร - บางกว่าเดิม, ความคิดเข้ามาแบบใส ๆ แล้วก็ดับแบบเด็ดขาด, แว็บ หาย... ต่อไปยิ่งรู้ทันความคิดมากขึ้น ยิ่งเห็นดับชัด แว็บหมด แว็บหมด... สภาพจิตรู้สึกอย่างไร ? สังเกต แบบเดียวกันกับเวทนา ยิ่งเห็นความคิดดับชัดมากเท่าไหร่ จิตยิ่งผ่องใสขึ้น ๆ ถามว่า ความคิดนั้นทาให้ จิตเราเป็นอกุศลไหม ? ยิ่งเห็นอาการเกิดดับของความคิดมากเท่าไหร่ ก็จะเห็นว่าความคิดสักแต่ว่า ความคิด ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่กาหนดรู้ เพราะความคิดก็เป็นขันธ์ขันธ์หนึ่งเหมือนเวทนาขันธ์นั่นแหละ
ความคดิ เปน็ ตวั อะไร ? เปน็ ตวั สงั ขารขนั ธห์ รอื ตวั สญั ญาขนั ธ์ เรอื่ งราวเกา่ ๆ ทผี่ า่ นมาปรากฏขนึ้ มา หรอื มนั กา ลงั คดิ ปรงุ แตง่ วางแผนจะไปทา อยา่ งนนั้ อยา่ งนี้ นคี่ อื การปรงุ แตง่ ทางจติ แตถ่ า้ อยู่ ๆ แลว้ ระลกึ ได้ เรื่องเก่า ๆ ผุดขึ้นมาแล้วหาย ผุดขึ้นมาแล้วหาย... นั่นคือตัวสัญญา เป็นความคิดแต่เป็นสัญญา บางที เรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านมาไกลไม่รู้กี่สิบปียี่สิบปี ตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่องเก่า ๆ เราไม่เคยระลึกเลยในชีวิตของเรา พอ เจริญกรรมฐานแล้วความคิดนี้ปรากฏ นี่ก็คือตัวสัญญาขันธ์ เพราะฉะนั้น หน้าที่คือเข้าไปกาหนดรู้ รู้ รู้... รู้อาการเกิดดับ
จริง ๆ แล้วความคิดเก่า ๆ ที่เคยตกค้างอยู่ในใจ มันจะถูกตัดไปขาดไปหายไป ทาให้จิตใจเราเริ่ม เบาขึ้น โล่งขึ้น สงบขึ้น โปร่งขึ้น สบายมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อความคิดนั้นดับไป ๆ ต่อไปพอสติเรามีกาลัง มากขึ้น ความคิดที่เคยเกิดขึ้นมาจะไม่มีรสชาติหรือไม่ส่งผลในแง่ลบแก่เรา เพราะอะไร ? การที่เราเจริญ สติ เห็นชัดถึงความเปลี่ยนแปลงถึงอาการเกิดดับ แล้วจิตผ่องใสขึ้น ทาให้เราเข้าใจในสัญญาเรื่องราว เก่า ๆ ที่ตกค้างอยู่ในใจของเรา พอเราเข้าใจขึ้น เขาก็ละไปวางไปโดยอัตโนมัติเช่นกัน การกาหนดรู้อาการ เกิดดับของอารมณ์เหล่านี้ส่งผลต่อสภาพจิต นี่คือเหตุผลว่าทาไมต้องกาหนดรู้อาการเกิดดับของอารมณ์ ต่าง ๆ เพราะการกาหนดรู้อาการเกิดดับตรงนี้แหละจะทาให้จิตเราผ่องใสและคลายอุปาทานมากขึ้น
ทีนี้ พอกาหนดไปเรื่อย ๆ จนความคิดหมด เหลืออะไร ? เหลือแต่จิตที่ทาหน้าที่รู้กับสภาพจิต สมมตวิ า่ ความคดิ ดบั ไปแลว้ เหลอื แตจ่ ติ ทที่ า หนา้ ทรี่ วู้ า่ โลง่ วา่ เบากบั ความรสู้ กึ ทโี่ ลง่ เบา พอเหน็ อยา่ งนแี้ ลว้ เราได้เห็นอะไร ? จุดหนึ่งที่เห็นชัดก็คือว่า อ๋อ! ความคิดกับจิตไม่ใช่อันเดียวกันเลย ความคิดดับไปแล้ว แต่จิตยังทาหน้าที่อยู่ เรื่องราวที่เราปรุงแต่งที่เราเคยหลงเข้าไปยึดติดเกาะเกี่ยวว่าเป็นของเราตลอด ตอนนี้ เขาหายไปหมดแลว้ เหลอื แตจ่ ติ ดวงเดยี วทที่ า หนา้ ทรี่ ู้ แลว้ ทเี่ ราเคยเขา้ ใจผดิ วา่ ความคดิ เปน็ ของเรา ใหค้ วาม สาคัญกับเรื่องราวที่คิด แล้วความคิดตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน ? หายไปอย่างไร ? บอกว่าเป็นของเราอยู่ไหม ?
ถ้าพิจารณาโดยทั่วไป ก็จะเหลือแต่จิตเราดวงเดียวที่ทาหน้าที่รู้อยู่เมื่อความคิดหายไปหมดแล้ว ตัวเราก็คือตัวรู้นี่แหละ คนเรามักเข้าใจว่าจิตที่ทาหน้าที่รู้คือเรา เราเป็นผู้ดู เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้เห็น แต่ ลองย้อนกลับมาดูตัวผู้รู้เองหรือตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้เอง เขาบอกว่าเป็นเราไหมขณะนั้น ? เมื่อย้อนกลับมาดู ตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้ว่าว่าง เบา สงบ อีกทีหนึ่ง ก็จะเห็นว่าตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้เองก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเรา ถ้าไม่