Page 468 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 468

400
ของรปู นามขนั ธ์ ๕ ของสตั วโ์ ลก ของมนษุ ยโ์ ลกทกุ ผทู้ กุ คน ทมี่ รี า่ งกายจติ ใจเกดิ ขนึ้ มา กป็ ระกอบดว้ ยขนั ธ์ ๕ แบบนี้ แต่ขึ้นอยู่กับใครจะมีสติ มีสมาธิ มีปัญญาพิจารณาในมุมไหน พิจารณาอย่างไร เป็นไปเพื่อความ ดับทุกข์ หรือเป็นไปเพื่ออะไร
แตพ่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนใหเ้ ราพจิ ารณารปู นามขนั ธ์ ๕ นนี่ ะ มเี ปา้ หมายหลกั คอื การคลายอปุ าทาน... ก า ร ด บั ท กุ ข ์ เ พ อื ่ ค ว า ม อ สิ ร ะ ข อ ง จ ติ ไ ม ถ่ กู ค ร อ บ ง  า ด ว้ ย อ ว ชิ ช า ต ณั ห า อ ปุ า ท า น ท เี ่ ก ดิ ข นึ ้ ไ ม ถ่ กู ค ร อ บ ง า ด ว้ ย โลภะ โทสะ โมหะ ที่จะเป็นตัวผลักดันให้การกระทาทางกายวาจาของเรา เป็นไปต่าง ๆ นานานั่นเอง เพราะ ฉะนนั้ เมอื่ พจิ ารณาจรงิ ๆ เราจะเหน็ วา่ คา วา่ สจั ธรรมจงึ ไมไ่ ดแ้ ยก ไมไ่ ดย้ กเวน้ ใครบคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ เลย ทุกคนที่เกิดขึ้นมามีชีวิตไม่ว่าจะยาจกยากจน หรือคนอยู่ในสถานะสังคมอย่างไร ก็ยังอยู่ในกฎไตรลักษณ์ อย่างนี้อยู่เสมอ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต
แต่เรื่องปกติธรรมดาของชีวิตตรงนี้ เป็นสิ่งที่เราศึกษาและเห็นได้ยาก หรือไม่ได้ใส่ใจที่จะศึกษา แต่ถ้าศึกษาจริง ๆ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยากอะไร ที่บุคคลจะสามารถเห็นได้เข้าใจได้ ถ้าบุคคลปรารถนาที่จะ ปลดปล่อยจิตของตน ให้พ้นจากเครื่องพันธนาการของโลภะ โทสะ หรือโมหะ ที่นาพาให้ชีวิตเรามีความ ทุกข์ ความยุ่งเหยิง ความวุ่นวาย เพราะฉะนั้นการที่เรามาปฏิบัติธรรม จึงบอกว่าเรามีเป้าหมายเพื่ออะไร และอาการที่กาลังปรากฏเกิดขึ้นอยู่ตรงนี้ ก็เป็นเรื่องปกติของชีวิตทุกชีวิตที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
ถ้านั่งนิ่ง ๆ ก็จะต้องมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมา เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรานั่งนิ่ง ๆ อยู่ หลับตา อย่างน้อย ๆ ลมหายใจก็ปรากฏ ไม่มีลมหายใจความคิดก็เกิดขึ้นมา ไม่มีความคิดก็มีเวทนาเกิด ขึ้นมา อันนี้คืออารมณ์ภายใน อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้านิ่งจริง ๆ นี่นะ ไม่มีอะไร มีพองยุบ มีอาการกระเพื่อม ทางกายขึ้นมา มีอาการเต้นของหัวใจเกิดขึ้นมา นี่แหละคือเป็นเบื้องต้นเลย ถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่า นั่ง หลับตาเมื่อไหร่ ก็ดูที่กายก็มีอาการของลมหายใจเข้าออก มีอาการพองยุบ มีอาการกระเพื่อมที่หัวใจ อย่าง ใดอย่างหนึ่งเขาเกิดขึ้นมา หรือไม่ก็อารมณ์ภายนอกอีกอย่างหนึ่ง ก็คืออารมณ์ภายนอก คือเสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่สัมผัสก็จะมีเกิดขึ้นมา มีความเย็น ความร้อนเกิดขึ้นมา นี่ล้วนแล้วแต่เป็นสภาวธรรมทั้งสิ้น ล้วน แล้วแต่เป็นสภาวธรรมธรรมชาติที่เกิดขึ้นมา เราอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็จะเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ย่อมมี อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งทาหน้าที่ของตน เป็นธรรมชาติไป
แต่สิ่งเหล่านี้ที่เป็นธรรมชาตินี่แหละ ถ้าขาดปัญญา ไม่เข้าใจ ไม่พิจารณา ไม่กาหนดรู้ให้ดูให้เห็น ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยตาของตนเอง บางครงั้ กย็ งั เกดิ ความหลงใหล หรอื หลงตามอารมณเ์ หลา่ นนั้ ไป ทา ให้ จติ มคี วามทกุ ข์ ความเครยี ด ความหงดุ หงดิ เกดิ ขนึ้ มา ความขนุ่ มวั ความเศรา้ หมองของชวี ติ ของเรา เพราะ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม เมื่อเรารู้ว่าเรามาทาอะไร มาตามรู้กาหนดอะไร เพื่ออะไร เราก็จะรู้ธรรม แล้วผลที่ ตามมาเป็นอย่างไร อย่างเช่นผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
เมอื่ เราตงั้ ใจทจี่ ะตามรลู้ มหายใจของเรา มสี ตริ อู้ ยกู่ บั ลมหายใจของตนเองอยเู่ นอื ง ๆ ในระยะเวลา ๒๐ นาที ๓๐ นาที มสี นใจแตล่ มหายใจอยา่ งเดยี ว ลองดวู า่ สมาธจิ ะเปน็ อยา่ งไร สตจิ ะเปน็ อยา่ งไร ใหก้ า หนด ลมหายใจอย่างเดียว แล้วทาไมการที่เราสนใจลมหายใจอย่างเดียว จะเป็นอุปาทานไหม ทาไมไม่ปล่อยให้


































































































   466   467   468   469   470