Page 565 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 565
497
แต่จริง ๆ แล้ว การดับกิเลส ถ้าสังเกต ถ้าผู้ปฏิบัติการดูจิตในจิตแบบนี้ มีความชัดเจนว่าระหว่าง จิตที่ขุ่นมัวเศร้าหมอง กับจิตที่ทาหน้าที่รู้เป็นคนละส่วนกันนั้น จิตที่ขุ่นมัว จิตที่เศร้าหมอง จิตที่เป็นอกุศล กับตัวรู้ จิตที่ทาหน้าที่รู้เป็นคนละส่วนกันนั้น ดับไม่ยาก ๆ อย่างไร เพราะวิถีจิตนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ชั่วขณะชั่วเสี้ยววินาที เกิดดับในตัวของตัวเองอยู่แล้ว
ถ้าสติมีกาลังรู้ชัด ตั้งสตินิดหนึ่ง มีเจตนาที่จะรู้นี่นะ ก็จะเห็นว่าความขุ่นมัว จิตที่กาลังปรุงแต่ง กับ จิตที่ทาหน้าที่รู้เป็นคนละส่วนกัน จิตที่ปรุงแต่ง ที่ขุ่นมัว ที่มีความหนัก มีความหนาแน่นนั้น บางทีกาลัง น้อย...เราดับยาก แต่ถ้าไปสังเกตจิตที่ทาหน้าที่รู้ว่าขุ่นมัว ตัวรู้ที่ไปรู้ถึงความขุ่นมัวนะ ตัวรู้นี่นะจะทาหน้าที่ ปรากฏขึ้นมา รับรู้แล้วก็ดับไป ถ้าดับตรงนี้ได้ ดับตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้ ถึงความขุ่นมัวแต่ละครั้งได้ ความขุ่น มัวก็จะดับไป เพราะอะไร เพราะตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้นี่แหละ เหมือนกับรู้แล้วยึดเอาไว้ ๆ ถามว่ารู้แล้วยึดเอา ไว้เพราะอะไร เพราะความไม่รู้ถึงความเป็นคนละส่วน เพราะความไม่รู้ว่านั่นเป็นอนัตตา
แต่ถ้าแยกออกมาแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นว่า จิตที่ทาหน้าที่รู้ กับความขุ่นมัวเป็นคนละส่วนกัน ความรู้สึกว่าเป็นเรา ความเป็นเจ้าของก็หายไป ความเป็นเจ้าของของความขุ่นมัวไม่เกิดขึ้น ดับไป แล้ว ความขุ่นมัวจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครแสดงกรรมสิทธิ์ หรือแสดงความเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น จะ เห็นว่าความขุ่นมัว ที่เป็นอกุศลที่เป็นกิเลสเกิดขึ้นมา เป็นของหนักจะตั้งอยู่ในความว่างได้ไม่นาน แล้วตั้ง อยู่ในที่ว่าง ๆ ได้ยาก
เพราะฉะนนั้ เวลามคี วามทกุ ข์ พอขยายจติ ใหก้ วา้ งความทกุ ขน์ นั้ ดบั ไป ถา้ เราสงั เกตดี ๆ จติ ทขี่ นุ่ มวั ที่ประกอบโลภะ หรือโทสะอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นมาจิตก็จะมีความหนัก ความอึดอัดปรากฏเกิดขึ้น ดว้ ยเสมอ นนั่ คอื เวทนาทางจติ ทเี่ ปน็ อกศุ ล เปน็ เวทนาในฝา่ ยอกศุ ลเกดิ ขนึ้ กจ็ ะปรากฏเกดิ ขนึ้ ดว้ ย เปน็ เรอื่ ง ปกติธรรมดา เพราะเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น เมื่อกาหนดรู้ถึงความเป็นคนละส่วน ระหว่างตัว จิตที่ขุ่นมัว กับจิตที่ทาหน้าที่รู้ และดับตัวรู้แต่ละขณะ ๆ ดับไปแต่ละครั้ง ก็เท่ากับการดับความขุ่นมัวนั้น ไปในตัวเช่นเดียวกัน
เพราะเมื่อไหร่ที่เห็นว่า จิตที่ทาหน้าที่รู้ถึงความขุ่นมัวดับไป โยคีก็จะเห็นว่าความหนักความขุ่นมัว นั้นตั้งอยู่ได้...ไม่ได้ หรือเปลี่ยนอย่างไรดับอย่างไร เพราะนั่นคือเขาเกิดอยู่ในกฎไตรลักษณ์ อารมณ์ต่าง ๆ ตั้งอยู่ในกฎไตรลักษณ์เสมอ เพราะฉะนั้น การดูจิตในจิตตรงนี้จึงเป็นสิ่งสาคัญ แต่การดูจิตในจิต ก็จะเป็น สภาวธรรมที่ควบคู่กัน ดูกายในกาย ดูจิตในจิต ดูเวทนาในเวทนา เหลือแต่ว่า อารมณ์ไหนเป็นประธานแค่ นั้นเอง
ในลักษณะในขณะนั้น ๆ มีอารมณ์ไหนที่เป็นประธาน ที่มีความชัดเจนเกิดขึ้นมา เมื่ออารมณ์ไหน ชัดเจนเกิดขึ้นมา โยคี...ก็ให้มีเจตนาเข้าไปกาหนดรู้ ถึงอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของอารมณ์นั้น ๆ นั่น เปน็ การเจรญิ กรรมฐาน เปน็ การเจรญิ วปิ สั สนากรรมฐาน เพอื่ พฒั นาสติ สมาธิ ปญั ญาใหแ้ กก่ ลา้ เพอื่ ความ ชัดเจนในกฎไตรลักษณ์ หรือสัจธรรม กฎธรรมชาติตรงนี้ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อการละการคลายอุปาทาน