Page 854 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 854

786
ควํามว่ําง เบํา ๆ เรําก็อยู่แบบสบําย ๆ ไม่มีสภําวะอะไรให้กําหนด มีแต่เวทนําที่มันเบํา ๆ อยู่ข้ํางนอก นิด หนึ่ง ๆ เลยไม่ได้กําหนด จริง ๆ แล้วพอถามว่า แล้วเวทนามีไหม ? ถ้าไม่มีให้บอกว่า ช่วงนี้ไม่มีเวทนํา เลย นั่งว่ํางอย่ํางเดียว จบ! ไม่ต้องมา เอ๊! ทําผิดหรือเปล่ําเรําไม่ได้ดูเวทนํา หรือหํายังไงก็ไม่เจอ จริง ๆ ไม่ จาเป็นต้องหา เพราะถ้าเขาเกิดยังไงก็รู้ ถ้าถามว่า มีเวทนาไหม ? มี แต่มันอยู่ไกล ๆ ไม่กระทบ แค่เบํา ๆ บําง ๆ ถ้าแค่เบา ๆ บาง ๆ แล้วนั่งว่าง ๆ ไม่กาหนดอะไรต่อ อันนี้ต้องเปลี่ยนแล้วนะ!
ถึงแม้เวทนาเกิดอยู่ในที่ว่าง ๆ บาง ๆ ไม่กระทบไม่รบกวน ก็ต้องนิ่ง แล้วสังเกตเวทนาที่บาง ๆ ว่า บางแล้วหายอย่างไร... บางแล้วดับเป็นเส้น ๆ ฝอย ๆ ยิบ ๆ หาย ยิบ ๆ หาย ยิบ ๆ หาย... สังเกตไปเลย! เพราะการที่เราสังเกตเวทนายิบ ๆ ๆ คือการดูอาการพระไตรลักษณ์ เราตามรู้เวทนาว่ามีการเปลี่ยนแปลง เกิดดับเพื่ออะไร ? เพื่อสติเราจะไม่ลดลง ไม่ใช่นั่งอยู่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ สมาธิเยอะ สติอ่อนลง ๆ แล้วก็หลับไป แต่ถ้าเราสังเกตว่าเวทนามีอาการยิบ ๆ ยิบ ๆ เดี๋ยวสักพักก็แปล๊บ...หาย แล้วก็ยิบ ๆ ยิบ ๆ เบา ๆ แล้ว แปล๊บขึ้นมา นั่นอาการพระไตรลักษณ์/อาการเกิดดับเริ่มชัดขึ้น ต้องใส่ใจนะ! ต้องทาแบบนี้ นั่นคือสภาวะ ที่เด่นที่สุด เพราะฉะนั้น เวทนามี แต่เบา ๆ แล้วสักพักเขาก็หายไปว่างไป จบแค่ไหนแค่นั้น นี่วิธี
อีกอย่างหนึ่งก็คือความคิด พอพูดถึง “ความคิด” นี่ทั้งหมดเลยนะ ไม่ใช่เฉพาะตอนที่นั่งกรรมฐาน ในอริ ยิ าบถยอ่ ยตา่ ง ๆ กเ็ หมอื นกนั ตอนทนี่ งั่ กรรมฐานเราสงั เกตเหน็ ความคดิ เขาเปน็ อยา่ งนี้ แตพ่ อเปลยี่ น เปน็ อริ ยิ าบถยอ่ ย มคี วามคดิ เกดิ ขนึ้ มา อาการเกดิ ดบั ของความคดิ เปลยี่ นไปเปน็ แบบนี้ ๆ ตรงนนั้ ทตี่ อ้ งเลา่ หรืออิริยาบถย่อยอยู่ในบรรยากาศของความรู้สึกที่ว่างอย่างเดียวเลย ความคิดน้อยมาก มีแต่อยู่กับความ วา่ งแลว้ รกู้ บั อาการเคลอื่ นไหวอริ ยิ าบถยอ่ ยอยา่ งเดยี ว ถา้ (ความคดิ )นอ้ ยกใ็ หร้ วู้ า่ นอ้ ย แลว้ ถามวา่ แลว้ เกดิ ดับยังไงอีก ? ถ้าบอกว่า ควํามคิดน้อย นําน ๆ เกิดทีหนึ่ง อาจารย์จะถามต่อทุกทีเลยว่าดับยังไง อันนี้ต้อง สังเกตนะ อาจารย์จะต้องถาม
เพราะฉะนั้น บอกตัวเองไว้เสมอว่าถ้าเราเห็นอะไรแล้วต้องจาต้องสังเกตให้ดี เดี๋ยวอาจารย์ถามจะ ตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้แต่อยากได้คะแนน...ไม่ได้นะ! จิตมันสบํายอําจํารย์ ดีขึ้นไหม ? ดีขึ้น แต่ถ้ายังตอบ จดุ นนั้ ไมไ่ ด.้ .. อนั นสี้ ว่ นอนื่ ดขี นึ้ จดุ นกี้ ต็ อ้ งดขี นึ้ ดว้ ย สงั เกตแบบนนั้ ! การเลา่ ถงึ ความคดิ ไมไ่ ดห้ มายความ ว่า เดี๋ยวนี้มีแต่ควํามคิดที่เป็นกุศลทั้งนั้นเลย หรือวันนี้ควํามคิดอกุศลเยอะแยะเลย ไม่ต้องก็ได้ ความคิด ที่เป็นกุศล/อกุศลเล่าได้ พอมีความคิดที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นปึ๊บ พอรู้ปุ๊บเขาดับแบบนี้ รู้ปุ๊บเขาดับแบบนี้... ไม่ต้องเล่าเรื่องก็ได้นะ อาจารย์จะได้ไม่ต้องฟัง อาจารย์จะได้ไม่เหนื่อย เดี๋ยวเรื่องโน้นเรื่องนี้เยอะแยะไป หมด... ไม่ต้องเล่าเรื่อง เล่าแค่ความคิดเขาเกิดดับ
เราจะสังเกตเห็นว่าครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านไม่ชอบให้เล่าความคิดเป็นเรื่องราว ให้เล่าเป็น สภาวธรรม แคร่ วู้ า่ ความคดิ เกดิ ขนึ้ มาแลว้ ดบั เดยี๋ วนพี้ อ(มผี สั สะ)กระทบ ความคดิ มนั ตงั้ อยสู่ กั พกั พอมสี ติ ไปรู้เขาค่อยจาง ค่อยจาง ค่อยจาง... แล้วค่อยดับไป แบบนี้ท่านจะฟัง แต่ถ้าเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้กลาย เป็นนอกเรื่องของสภาวธรรม ถึงแม้เรื่องนั้นเป็นเรื่องข้างนอกแต่เราพูดถึงลักษณะการเกิดดับของความ คิด การที่รู้ถึงความคิดที่เขาดับสั้นลง ๆ น้อยลง เป็นตัวบ่งบอกถึงอายุอารมณ์ที่สั้นลง ตรงที่ความคิดเกิด


































































































   852   853   854   855   856