Page 134 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 134

130
“กายที่นั่งอยู่” กับ “จิตที่ทาหน้าที่รู้”ตรงนี้—กายที่นั่งอยู่เป็นรูป จิตที่ทา หน้าที่รู้ก็เป็นนาม รูป-นามเป็นคนละส่วนกัน แยกจากกันเมื่อไหร่ความ เป็นเราหายไป ความเป็นตัวตน ความเป็นคนเป็นเราหายไป เหลืออะไร ? เหลือแต่สภาวธรรม เหลือแต่รูปอย่างหนึ่งที่กาลังตั้งอยู่กับจิตที่กาลังทา หน้าที่รับรู้อยู่ เราลองพิจารณาดูว่า ทุก ๆ คนบนโลกนี้ถ้าแยกเป็นแบบนี้ จะต่างกันตรงไหน ? เมื่อปัญญาเกิดขึ้นมาพิจารณาเห็นถึงความเป็น คนละส่วนแบบนี้ ลองดู ความแตกต่าง/ความต่างกันอยู่ตรงไหน ? ความ เป็นคน เป็นเรา เป็นเขา มีความต่างกันตรงไหน อย่างไร ?
ถ้าโดยความมีชีวิตชีวิตหนึ่งในโลก ก็ไม่ต่างกัน... ชีวิตชีวิตหนึ่งที่ เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ไม่ต่างกันเลย มีรูป-มีนาม มีกาย-มีจิต มีอย่างหนึ่งที่ เหมือนกันคือ ไม่อยากจะมีความทุกข์ อยากจะออกจากทุกข์ หรืออยาก จะมีความสุข ถ้าเราไม่พิจารณาตามคาสอนขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ที่บอกว่ารูป-นามเป็นคนละส่วนกัน ก็ยากนักที่จะเห็นแบบนี้ ไม่พิจารณาสภาวธรรมตามความเป็นจริง ไม่มีแนวทาง ไม่มีผู้ชี้ทางว่าการ ที่จะออกจากทุกข์เป็นอย่างไร การจะทาความเห็นของตัวเองให้ตรงนั้น เปน็ อยา่ งไร การทา ความเหน็ ของตนเองใหถ้ กู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ -ทเี่ ปน็ สัมมาทิฏฐิ-นั้นเป็นอย่างไร ก็จะไม่รู้ เพราะไม่มีแนวทาง ไม่มีหลักการ ก็ คิดเองเออเอง เราก็คิดตามความเห็นของเราไป
แต่ถ้าเราพิจารณาตามหลักคาสอนขององค์สมเด็จพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า ที่พูดถึงความเป็นไปของรูปนามขันธ์ห้า ที่เรียกว่าเป็นเราเป็น เขาอยู่ทุกมุมโลกนี้ มีชีวิตเกิดขึ้นมาก็คือรูปนามขันธ์ห้าที่เป็นปกติแบบนี้ เป็นเหมือนกันทุกคน เวลาหนาวก็บอกได้แบบเดียวกัน เวลารู้สึกร้อนก็ บอกไดแ้ บบเดยี วกนั เวลาทกุ ขก์ จ็ ะรสู้ กึ แบบเดยี วกนั เวลามคี วามสขุ กจ็ ะ


































































































   132   133   134   135   136