Page 180 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 180

176
เมื่อเห็นว่าสังขารขันธ์ก็ส่วนหนึ่ง จิตที่ทาหน้าที่รู้ก็ส่วนหนึ่ง ลอง สังเกตดูว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นชัดถึงความจริงข้อนี้ว่า สังขารขันธ์ที่เกิด ขึ้นมา เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เพราะสังขารก็ไม่เที่ยง แล้วจิตที่ทาหน้าที่รู้ไม่ คล้อยตาม ไม่ไหลตาม ไม่หลงเข้าไปยึดเอาว่าขันธ์นั้นเป็นของเรา ความ คิดเป็นของเรา สังขารที่กาลังปรุงแต่งอยู่นั้นเป็นของเที่ยง เมื่อกาหนดรู้ ชดั อยา่ งนี้ ลองดวู า่ สภาพจติ ใจเปน็ อยา่ งไร ? ขนั ธอ์ นั นนั้ มาครอบงา จติ ใจ ทาให้อกุศลเกิดขึ้นได้ไหม ? ทาให้ความทุกข์เกิดขึ้นได้ไหม ? นี่คือการ พิจารณาสภาวธรรมที่เกิดขึ้น แล้วพิจารณาดูว่าขันธ์อันนั้นที่กาลังปรากฏ เป็นของเที่ยงหรือเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ? เป็นทุกข์หรือเปล่า ? เห็นไหม ทกุ ขลกั ษณะของขนั ธท์ กี่ า ลงั ปรากฏ เกดิ ขนึ้ -ตงั้ อย-ู่ ดบั ไป ไมใ่ ชท่ กุ ขเวทนา เพราะสังขารการปรุงแต่งก็อย่างหนึ่ง ทุกขเวทนาก็อย่างหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เผลอเข้าไปยึดว่าสังขารขันธ์นั้นเป็นตัว เราของเรา เมื่อสังขารนั้นเปลี่ยนไปไม่เป็นอย่างที่ปรารถนา ทุกขเวทนาก็ เกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเข้าใจผิดคิดว่าขันธ์นั้นเป็นของเที่ยงเป็น ของเรา ขันธ์ก็เป็นส่วนหนึ่งแต่ความทุกข์/เวทนาก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ขันธ์ นั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ความทุกข์เกิดขึ้นเท่านั้น อะไรเป็นเหตุให้ทุกข์ ? เพราะความไม่รู้ว่าสังขารขันธ์นั้นก็ไม่ใช่ของเรา สังขารขันธ์เกิดขึ้นมาทา หน้าที่ของตน เพราะความไม่รู้หรืออวิชชาปิดบังตัวนี้นี่แหละ พอมีสังขาร ขันธ์ปรากฏขึ้นมา ก็ไปยึดว่าเป็นตัวเราของเรา ว่าเป็นของเที่ยง พอคิดว่า เขาตอ้ งเทยี่ งตอ้ งเปน็ อยา่ งนี้ เมอื่ สงั ขารขนั ธน์ นั้ มกี ารเปลยี่ นแปลง ไมเ่ ปน็ ไปอย่างที่คิด กลายเป็นว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น...ก็เป็นทุกข์
ทีนี้ลองพิจารณาดูว่า สังขารขันธ์กับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นส่วน เดียวกันหรือคนละส่วนกัน พอพิจารณาไป สังขารขันธ์การปรุงแต่งเป็น


































































































   178   179   180   181   182