Page 181 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 181

ปัจจัยหนึ่ง ความทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะไม่รู้ แต่พอรู้ว่าสังขารขันธ์คือความ คิดการปรุงแต่งที่กาลังปรากฏขึ้นมานั้นไม่ใช่ของเราไม่ใช่ตัวเรา จิตที่ทา หน้าที่รู้ก็ทาหน้าที่รู้ มีแต่สติตามกาหนดรู้ถึงขันธ์ที่เกิดขึ้น ทีนี้ความพิเศษ อกี อยา่ งหนงึ่ กค็ อื วา่ วางตา แหนง่ ของสตอิ ยา่ งไรเพอื่ ไมใ่ หไ้ หลตามสงั ขาร ขนั ธก์ ารปรงุ แตง่ ทางจติ ทเี่ กดิ ขนึ้ ? วางตา แหนง่ ของสตอิ ยา่ งไรเหมอื นเรา วางใจอย่างไรถึงจะไม่คล้อยตาม ไม่เผลอ ไม่ไหลตามอารมณ์อันนั้น วาง จิตอย่างไรความคิดนั้นถึงจะไม่ครอบงาจิตใจของเรา
เมื่อเรามีปัญญาสามารถแยกชัดว่าสังขารขันธ์กับจิตที่ทาหน้าที่รู้ เป็นคนละส่วนกัน เมื่อกี้ที่พิจารณาดูว่า เมื่อตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้แยกจาก อารมณ์แล้ว จิตตรงนั้นเป็นอย่างไร—กว้างแค่ไหน มีอานุภาพแค่ไหน มี ขอบเขตไหม ? ถา้ กา หนดรจู้ ติ ทที่ า หนา้ ทรี่ ู้ จติ ทวี่ า่ งทเี่ บาทไี่ มม่ อี ปุ าทานแลว้ นั้น มีความว่าง ไม่มีขอบเขต มีอิสระในตนเอง เพราะฉะนั้น ลองดูว่า จิต ที่ว่าง จิตที่เบา จิตที่มีอิสระในตนเอง สามารถเคลื่อนย้ายที่ได้ไหม ? การ ที่ถามแบบนี้เพื่อเราจะพิจารณาด้วยตัวเราเองว่า จิตที่ว่างแล้ว ถ้าเคลื่อน ย้ายที่ได้ หรือสามารถวางตาแหน่งของสติให้อยู่ใกล้อารมณ์/ห่างอารมณ์ แค่ไหนก็ได้ และให้อารมณ์นั้นอยู่ไกล ๆ ให้สังขารการปรุงแต่ง/ให้ความ คิดนั้นห่างตัวออกไป อยู่ไกล ๆ ไกลออกไป ๆ กลายเป็นว่าให้จิตที่กาลัง คิดอยู่นั้นห่างตัวออกไป...
พอห่างออกไป ความคิดกับจิตที่ทาหน้าที่รู้ยิ่งมีช่องว่าง จิตกับ อารมณ์ที่เกิดขึ้นช่องว่างมากขึ้นกว้างขึ้น จิตที่ทาหน้าที่รู้มีกาลังมากกว่า ตัวสังขารที่กาลังปรุงแต่ง ทีนี้เมื่อสังขารที่กาลังปรุงแต่งอยู่นั้นไม่สามารถ ครอบงา จติ ใจได้ ถามวา่ สงั ขารนนั้ จะปรงุ แตง่ ใหจ้ ติ เกดิ อกศุ ล ใหเ้ กดิ ความ ขุ่นมัวเศร้าหมอง ทาให้เป็นทุกข์ได้ไหม ? นี่คืออย่างหนึ่งว่า เมื่อพิจารณา
177


































































































   179   180   181   182   183