Page 252 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 252

248
มีอะไรอีกที่คนเราเข้าไปยึด ? ก็คือเวทนา ไม่ว่าจะเป็นทางกาย หรือทางใจ เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น มีอาการกระทบไม่ว่าทางทวารไหนก็ตาม พอมีเวทนาเกิดขึ้นมา ก็จะเข้าใจว่าเวทนาเป็นของเรา เวทนาเป็นเรา เรา มีเวทนา ลองสังเกตดูว่าขนาดกายกับจิตยังเป็นคนละส่วนกัน เวทนาที่ เกิดขึ้นมากับจิตที่ทาหน้าที่รู้เขาเป็นส่วนเดียวกันไหม หรือตัวเวทนาเอง เขาบอกว่าเป็นเราเป็นเขาเป็นใครหรือเปล่า หรือเป็นแค่เวทนาที่เกิดขึ้นมา ตามเหตปุ จั จยั เมอื่ มผี สั สะเกดิ ขนึ้ เวทนากป็ รากฏเกดิ ขนึ้ มา พอเหตปุ จั จยั หมดไป เวทนากด็ บั ไปหายไป เมอื่ เวทนาดบั ไปแลว้ จติ ทที่ า หนา้ ทรี่ กู้ ย็ งั ทา หน้าที่รู้อารมณ์อื่นต่อไป ไม่ใช่ว่าเวทนาดับไป ตัวรู้จะไม่มีอีกแล้ว เพราะ ฉะนั้น จะเห็นว่าแม้แต่ตัวจิตที่รู้ก็ยังเป็นคนละส่วนกับเวทนาที่เกิดขึ้น
เมื่อจิตที่รู้เป็นคนละส่วนกับเวทนาที่เกิดขึ้น พอเวทนานั้นมีความ เปลยี่ นไป เวทนานนั้ จงึ ไมใ่ ชข่ องเรา ไมไ่ ดเ้ ปน็ ของเรา เพราะเรายงั ทา หนา้ ที่ รับรู้อยู่ แต่การใช้คาว่า “เรา” ในที่นี้ อยากให้โยคีพิจารณาถึงความเป็น คนละส่วนแบบเดียวกันกับ(การพิจารณา)อาการทางกาย จิตกับกายเป็น คนละส่วนกัน จิตกับเวทนาก็เป็นคนละส่วนกัน เรารู้ชัดถึงเวทนาทางกาย เพราะเขาเกิดที่หัวเข่าที่ไหล่ที่หลังที่ตัว เวทนาทางกายกับจิตที่ทาหน้าที่รู้ เป็นคนละส่วนกันอาจจะกาหนดได้ง่าย แต่เวทนาทางใจ/เวทนาทางจิต มี ความอึดอัด ความหนัก มีความไม่สบายเกิดขึ้น พอมีความอึดอัดมีความ ไม่สบายขึ้นมา ก็คิดว่าเป็นเราเป็นของเรา เราเป็นคนไม่สบาย ความไม่ สบายนั้นเป็นของเรา
ลองสังเกตให้ดีว่า เวทนาทางใจ ความอึดอัด ความหนัก ความไม่ สบาย กับจิตที่ทาหน้าที่รู้ เขาเป็นส่วนเดียวกันไหม ? นี่ก็คือการพิจารณา ถึงความเป็นคนละส่วนระหว่างจิตที่ทาหน้าที่รู้กับเวทนาที่เกิดขึ้น เมื่อ


































































































   250   251   252   253   254